หน้าแรกมือถือ > รวมข่าวมือถือ > หน้าบทความ ข่าวมือถือ
   
Date : 29/5/2568

ทัวร์เจาะลึกโรงงาน OPPO ฉงชิ่ง ฐานการผลิต และศูนย์โลจิสติกส์ที่ใหญ่ที่สุด พร้อมเผยเบื้องหลังกว่าจะเป็นมือถือ 1 เครื่อง

 

ในขณะที่ทุกท่านกำลังเปิดอ่านคอนเทนต์ หรือเล่นโซเชียลอยู่นี้ เคยสงสัยหรือไม่ว่า สมาร์ตโฟนที่อยู่ในมือของท่านมีเบื้องหลังเป็นอย่างไร กว่าจะคลอดออกมาเป็นโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่องนั้นต้องผ่านอะไรมาบ้าง? ซึ่งเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทีมงาน Thaimobilecenter ของเราก็มีโอกาสสุดพิเศษ ได้ร่วมเดินทางไปกับบรรดาสื่อมวลชนวงการมือถือไทย สู่นครฉงชิ่ง ประเทศจีน เพื่อเยี่ยมชมโรงงานแห่งใหม่ล่าสุดของ OPPO ซึ่งนับเป็นฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุดของแบรนด์ และที่เซอร์ไพรส์ก็คือทาง OPPO นั้นอนุญาตให้เราเก็บภาพของการดำเนินงานภายในบางส่วนมาเผยแพร่สู่สาธารณชนได้ด้วยเป็นกรณีพิเศษ ดังนั้นเดี่ยวเราจะมาสรุปข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับโรงงานแห่งนี้ของ OPPO พร้อมทั้งเจาะลึกเรื่องราวเบื้องหลังอันน่าทึ่งของ OPPO ว่ากว่าจะยิ่งใหญ่อย่างในปัจจุบันนี้ต้องผ่านอะไรมาบ้าง ให้ทุกท่านได้ทราบไปพร้อม ๆ กันครับ

 

 

กำเนิดแบรนด์ OPPO พร้อมเผยเส้นทางสู่ความสำเร็จระดับโลก

เชื่อว่าหลายท่านน่าจะรู้จักกับแบรนด์ OPPO ในฐานะของผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือชั้นนำ แต่รู้หรือไม่ว่าแรกเริ่มเดิมทีหลังจากที่ OPPO จดทะเบียนแบรนด์ในปี ค.ศ.2001 นั้น OPPO มีผลิตภัณฑ์หลักคือสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค โดยเฉพาะเครื่องเล่น MP3 และ MP4 ที่ประเดิมด้วยเครื่องเล่น MP3 ทรงเปลือกหอยอย่าง OPPO X3 เป็นรุ่นแรกในปี 2005 จนประสบความสำเร็จในการเข้าสู่ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับผู้บริโภคได้อย่างสมบูรณ์แบบ

 

ต่อมา OPPO ก็พบหมุดหมายสำคัญใหม่ หลังจากศึกษามาอย่างลึกซึ้งแล้วพบว่าตลาดโทรศัพท์มือถือ ณ ช่วงเวลานั้นยังมีช่องว่างให้เติบโตได้อีกมาก ทาง OPPO จึงได้ตัดสินใจเข้าสู่อุตสาหกรรมโทรศัพท์มือถืออย่างเป็นทางการ จนในปี ค.ศ. 2008 ก็ได้ฤกษ์เปิดตัวโทรศัพท์มือถือแบบฟีเจอร์โฟนรุ่นแรกของ OPPO นั่นคือ OPPO A103 หรือที่รู้จักกันในนามของ “มือถือหน้ายิ้ม” (Smiley Phone) ซึ่งมีเอกลักษณ์อันโดดเด่นเป็นที่จดจำได้ง่าย และทุ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโทรศัพท์มือถือของตัวเองมาอย่างต่อเนื่องจนถึงสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดในยุคปัจจุบัน โดยมีระบบ ColorOS เป็นซอฟต์แวร์แกนกลาง รวมทั้งขยับขยายไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม IOT ไม่ว่าจะเป็นแท็บเล็ต, สมาร์ตวอทช์ และหูฟัง ซึ่งกลายเป็นระบบนิเวศครบวงจรในรูปแบบที่เรียกว่า 1+3+X (สมาร์ตโฟน+ผลิตภัณฑ์ IOT+มอนิเตอร์) ที่ใช้สมาร์ตโฟนเป็นผลิตภัณฑ์หลักในการเข้าถึง

 

ในด้านของนวัตกรรมทาง OPPO นั้นก็มุ่งมั่นสร้างสรรค์มาอย่างต่อเนื่อง เช่นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ XR (Extended Reality) ของตัวเองขึ้นมา ในรูปแบบของแว่นตาอัจฉริยะ OPPO Air Glass 3 ใหม่ล่าสุด ที่สามารถผนวกเข้ากับความสามารถในด้านของ AI บนสมาร์ตไฟนได้อย่างสร้างสรรค์

สำหรับในตลาดโลกนั้น OPPO ก็ก้าวเข้ามาอยู่ในกลุ่มผู้นำ อย่างเช่นในไตรมาสที่ 3 ของปี ค.ศ. 2024 ทาง OPPO นั้นครองอันดับ 4 ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 9% และมีส่วนแบ่งในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงมากที่สุดเป็นครั้งแรกถึง 21% (ข้อมูลจาก Canalys)

ล่าสุดธุรกิจของ OPPO นั้นได้ขยายครอบคลุมไปกว่า 70 ประเทศ ในทุกภูมิภาคทั่วโลก ด้วยจุดจำหน่ายกว่า 300,000 แห่ง และจำนวนพนักงานมากกว่า 40,000 คน

 

การลงทุนด้านการวิจัย, พัฒนา และศูนย์การผลิต พร้อมสิทธิบัตรระดับโลก

ในด้านของการวิจัย และพัฒนา ทาง OPPO นั้นก็ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งนี้เป็นอันดับต้น ๆ ด้วยการลงทุนไปมหาศาล จนล่าสุด OPPO นั้นมีสถาบันวิจัยขนาดใหญ่ทั้งในประเทศ และต่างประเทศรวม 6 แห่งทั่วโลก โดยในต่างประเทศจะมีที่ซิลิคอนแวลลีย์ในประเทศสหรัฐอเมริกา กับเมืองโยโกฮามะในประเทศญี่ปุ่น ส่วนในประเทศจีนเองจะมีที่เซินเจิ้น, เฉิงตู, ซีอาน และอู่ฮั่น

ในฝั่งของศูนย์การผลิตขนาดใหญ่ของ OPPO ก็มีกระจายอยู่ทั่วโลกเช่นกัน รวม 9 แห่ง โดยภายในประเทศจะมีอยู่ 2 แห่งได้แก่สวนอุตสาหกรรมฉางอานในนครตงกวน และสวนเทคโนโลยีระบบนิเวศอัจฉริยะออปโป้ในนครฉงชิ่ง ที่เราเดือนทางมาเยือนในครั้งนี้

ส่วนศูนย์การผลิตอีก 7 แห่งในต่างประเทศจะตั้งอยู่ที่อินโดนีเซีย, อินเดีย, บังกลาเทศ, ตุรกี, ปากีสถาน, บราซิล และอียิปต์

โดยโครงการศูนย์การผลิตของ OPPO ที่นครฉงชิ่งนี้มีมูลค่าการลงทุนรวมถึง 7.7 พันล้านหยวน หรือราว 35,640 ล้านบาท บนพื้นที่กว่า 1,524 ไร่ รวมทั้งได้มีการลงนามข้อตกลงการลงทุนร่วมกับรัฐบาลเขตอวี้เป่ยเมื่อเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 2016 ที่ผ่านมา 

 

สำหรับโครงการที่ฉงชิ่งนี้เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน ปี ค.ศ. 2017 จนการก่อสร้างระยะที่ 1 แล้วเสร็จ (บริเวณใต้แนวกึ่งกลางของสวน) จึงได้ฤกษ์เริ่มเดินสายการผลิตเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ปี ค.ศ. 2019 โดยโครงการก่อสร้างนี้ยึดตามการดีไซน์พื้นที่แบบ “หนึ่งใจกลาง หนึ่งวงแหวน สี่กลุ่ม” ซึ่ง “หนึ่งใจกลาง” นั้นหมายถึงโรงงานที่รวมสำนักงาน และการผลิตไว้ในจุดศูนย์กลาง ต่อมา “หนึ่งวงแหวน” หมายถึงทางเดินเชิงนิเวศซึ่งอนุญาตให้เฉพาะคนเดินผ่านที่ทอดยาวกว่า 2.5 กิโลเมตร และ “สี่กลุ่ม” หมายถึงหอพักของพนักงานที่ตั้งอยู่โดยรอบทั้ง 4 ด้าน

โดยปัจจุบันการก่อสร้างในระยะที่ 2 หรือส่วนที่อยู่เหนือแนวกึ่งกลางของสวนนั้นอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งสุดท้ายแล้วศูนย์การผลิตของ OPPO ฉงชิ่งนี้ก็จะกลายเป็นฐานการผลิต และศูนย์โลจิสติกส์ที่ใหญ่ที่สุดของ OPPO ทั่วโลก

 

การก้าวเข้าสู่ตลาดโทรศัพท์มือถือ

จากที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นคือ OPPO ได้เริ่มสร้างชื่อด้วยการเป็นผู้ผลิตเครื่องเล่น MP3 โดยเฉพาะรุ่นแรกอย่าง OPPO X3 ที่วางจำหน่ายในปี 2005 ที่มีดีไซน์แบบเปลือกหอยอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์กว่าเครื่องเล่น MP3 อื่น ๆ ที่ดูไม่สะดุดตา จนในเวลาต่อมา OPPO ก็กลายเป็นอันดับหนึ่งในตลาดเครื่องเล่นภายในประเทศ และในที่สุดในปี ค.ศ. 2008 ทาง OPPO ก็ได้ตัดสินใจเบนเข็มเข้าสู่ตลาดโทรศัพท์มือถืออย่างเต็มตัว ซึ่งหากนับจาก OPPO X3 ถึงปัจจุบันก็นับเป็นเวลากว่า 20 ปีสำหรับการเดินทางของ OPPO

 

โทรศัพท์มือถือรุ่นแรกที่สร้างชื่อให้กับ OPPO ได้อย่างมากก็คือ OPPO A103 ซึ่งเป็นฟีเจอร์โฟนที่มีฉายาว่า “มือถือหน้ายิ้ม” หรือ “Smiley Phone” ด้วยเอกลักษณ์คือการมีหน้ายิ้มคล้าย Emoticon ดูน่ารัก อยู่ที่ด้านหลังตัวเครื่อง รวมทั้งรองรับการใช้งานสองซิมการ์ดพร้อมกัน ซึ่งตอบโจทย์ผู้ใช้งานในยุคนั้น จน OPPO A103 ขายหมดเกลี้ยงติดต่อกันถึง 5 รอบการเปิดจำหน่าย และสามารถสร้างยอดขายได้กว่า 1 ล้านเครื่องต่อปี เรียกว่าเป็นความสำเร็จขั้นเริ่มต้นที่สร้างแรงผลักดันให้กับ OPPO ได้อย่างมาก

 

ต่อมาในปี 2010 ก็มีมือถือฝาพับดีไซน์เรียบหรูอย่าง OPPO U529 ที่มีทั้งหน้าจอหลักด้านใน และหน้าจอรองด้านนอกที่ใช้สำหรับการดูข้อมูลแจ้งเตือนต่าง ๆ โดยไม่ต้องกางฝาพับออกมา เรียกว่าเป็นเทรนด์มาแรงในยุคนั้น จนปัจจุบันเราก็ก้าวเข้าสู่ยุคสมาร์ตโฟนจอพับกันแล้ว

 

จนในปี 2011 ยุคสมาร์ตโฟนของ OPPO ก็ได้เริ่มต้นขึ้นด้วย OPPO Find (X903) สมาร์ตโฟนรุ่นแรกของค่ายที่ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android ด้วยดีไซน์แป้นพิมพ์เต็มรูปแบบที่สามารถสไลด์ออกมาได้ เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งการปฏิวัติวงการมือถือที่แสดงให้เห็นว่า OPPO มุ่งเน้นการนำเสนอนวัตกรรมล้ำสมัยไม่แพ้แบรนด์ใด

 

แต่ถ้าพูดถึงสมาร์ตโฟนของ OPPO รุ่นแรกที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอย่างเป็นทางการก็ต้องเป็น OPPO Find 3 ในปี 2012 ซึ่งโดดเด่นทั้งดีไซน์ และวัสดุที่นำมาใช้ ด้วยอะลูมิเนียมขัดเงา กับขอบด้านข้างแบบเคฟลาร์

นอกจากนี้ในปีเดียวกันนั้น ทาง OPPO ก็ได้นำเทรนด์ของสมาร์ตโฟนที่ใช้งานได้คล่องตัว และพกพาได้ง่ายเข้ามาสู่ตลาดด้วย OPPO Finder ที่มีตัวเครื่องบางเฉียบที่สุดในโลก ณ เวลานั้นเพียง 6.65 มิลลิเมตร ในขณะที่ยังคงมีประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม ซึ่งแสดงถึงความเป็นผู้นำในด้านการออกแบบ และวิศวกรรม

ในปีถัดมา หรือปี 2013 ทาง OPPO ก็แสดงความเป็นผู้นำนวัตกรรมอีกครั้งด้วยสมาร์ตโฟนเรือธงรุ่นใหม่อย่าง OPPO Find 5 ซึ่งมาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลความละเอียดสูงระดับ 1080P FHD ในขณะที่หน้าจอของสมาร์ตโฟนส่วนใหญ่ในยุคนั้นมีความละเอียดเพียงแค่ระดับ 720P HD นอกจากนี้ก็ยังเป็นสมาร์ตโฟนรุ่นแรกของโลกที่กระจกหน้าจอผลิตด้วยเทคโนโลยี OGS (One Glass Solution) ซึ่งช่วยให้หน้าจอบางลง และโปร่งแสงยิ่งขึ้น ทำให้การแสดงผลมีสีสัน กับรายละเอียดที่ดีกว่า

 

และในปีเดียวกันนี้เอง OPPO ก็ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับวงการด้วยสมาร์ตโฟนกล้องหมุนได้ 206° อย่าง OPPO N1 ที่ไม่ต้องแยกใช้งานระหว่างกล้องหน้า กับกล้องหลังอีกต่อไป เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งการปฏิวัติวงการ และผ่านการทดสอบความแข็งแกร่งมาเป็นอย่างดี โดยสามารถผ่านการทดสอบหมุนกล้องได้มากกว่า 100,000 ครั้ง พร้อมระบบสั่งการแบบ O-Touch ที่แตะสั่งงานด้านหลังตัวเครื่องได้โดยที่ไม่ต้องแตะหน้าจอ

 

ไม่เพียงเท่านั้น ในปี 2014 ทาง OPPO ก็ได้แสดงความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการแสดงผลอีกครั้งด้วยการเปิดตัว OPPO Find 7 ที่มาพร้อมจอแสดงผลที่มีความคมชัดระดับ 2K QHD เป็นรุ่นแรกของโลก รวมทั้งไฟแจ้งเตือนดีไซน์โค้งมนอันเป็นเอกลักษณ์แบบ Skyline Notification

และในปีเดียวกันนี้เอง OPPO ก็ได้นำนวัตกรรมกล้องหมุนได้มาใส่ไว้ใน OPPO N3 อีกครั้ง ซึ่งเป็นรุ่นที่ต่อยอดมาจาก OPPO N1 ให้ล้ำหน้ายิ่งขึ้น และถูกออกแบบให้ใช้งานได้สะดวกขึ้นด้วยพอร์ตชาร์จที่ด้านข้างเพื่อให้หยิบจับได้สะดวกขึ้น จนกลายเป็นหนึ่งในสมาร์ตโฟนที่โดดเด่นที่สุดในปี 2014

 

อีกหนึ่งนวัตกรรมเปลี่ยนโลกสมาร์ตโฟนที่ OPPO ภูมิใจนำเสนอก็คือเทคโนโลยีชาร์จแบตเตอรี่ความเร็วสูงแบบ VOOC ที่มาพร้อมกับ OPPO R9 ในปี 2016 ที่ชาร์จเพียงแค่ 5 นาที แต่สามารถใช้โทรได้นานถึง 2 ชั่วโมง พร้อมความโดดเด่นด้านดีไซน์ และฟีเจอร์ด้านการถ่ายภาพ จนทำให้ OPPO R9 นั้นกลายเป็นสมาร์ตโฟนที่ขายได้ถึง 17 ล้านเครื่องต่อปี โค่นแชมป์เก่าอย่าง iPhone ที่ครองตำแหน่งมา 4 ปีติดต่อกันลงได้

 

ต่อมาในปี 2018 ทาง OPPO ก็ได้เปิดตัว OPPO Find Series รุ่นแรกในรอบ 4 ปี นั่นคือ OPPO Find X ที่ถูกยกเครื่องใหม่ทุกองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอขอบโค้งแบบ Panoramic Arc Screen บนดีไซน์หรูหราล้ำยุค พร้อมนวัตกรรมกล้องแบบ Pop-up ที่สไลด์เก็บไว้ได้เมื่อไม่ได้ใช้งาน, ระบบสแกนหน้า 3 มิติแบบ O-Face, ชิปเซ็ตตัวท็อปในยุคนั้นอย่าง Snapdragon 845 และฟีเจอร์ไฮเอนด์อีกมากมาย รวมทั้งยังมีการผลิตรุ่นพิเศษอย่าง OPPO Find X Automobili Lamborghini Edition ที่จับมือพัฒนาร่วมกับแบรนด์ซูเปอร์คาร์กระทิงดุอย่าง Lamborghini อีกด้วย

 

หลังจากนั้นในปี 2019 ก็มีการเปิดตัวซีรีส์ที่ได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบันอย่าง OPPO Reno Series เป็นครั้งแรก นำมาด้วย OPPO Reno 10x Zoom กับ OPPO Reno 5G ที่สามารถเป็นตัวแทนสัญลักษณ์แห่งนวัตกรรมของ OPPO ได้เป็นอย่างดี โดยในด้านของ OPPO Reno 10x Zoom นั้นมาพร้อมกับนวัตกรรมกล้อง Periscope Telephoto ที่รองรับการซูมแบบ 10x Hybrid Zoom กับกล้องหน้า Pop-up ดีไซน์ครีบฉลามแบบ Pivot Rising Camera ซึ่งเป็นเอกลักษณ์อันน่าจดจำ

 

ในปี 2021 ก็เป็นอีกก้าวสำคัญของ OPPO ด้วยการเปิดตัวสมาร์ตโฟนจอพับรุ่นแรกของแบรนด์อย่าง OPPO Find N ซึ่งมาพร้อมกับนวัตกรรมบานพับ Flexion Hinge ที่ OPPO พัฒนาขึ้นมาเอง ด้วยการออกแบบกลไกภายในแบบหยดน้ำเพื่อการพับที่ราบรื่น พร้อมกับช่วยลดรอยพับบนหน้าจอขณะกางออก หรือช่องว่างที่เกิดขึ้นขณะพับหน้าจอ พร้อมทั้งสามารถกางออกไปองศาต่าง ๆ ได้อย่างอิสระตั้งแต่ 50°-120° ซึ่งด้วยความโดดเด่นของการออกแบบ และประสบการณ์ของการใช้งานนี้ก็ทำให้ OPPO Find N สามารถคว้ารางวัลจาก iF Design Awards ไปได้ถึง 2 รางวัล

 

ล่าสุดในปี 2024-2025 ทาง OPPO ก็ตอกย้ำความเป็นผู้นำของสมาร์ตโฟนเรือธงเพื่อการถ่ายภาพ และฟีเจอร์ AI อีกครั้งด้วย OPPO Find X8 Series ทั้ง Find X8 กับ Find X8 Pro ที่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2024 และรุ่นใหญ่ของซีรีส์อย่าง Find X8 Ultra ที่เพิ่งเปิดตัวไปสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2025 ที่ผ่านมา เรียกว่าในตลาดไฮเอนด์ OPPO ไม่เคยทำให้ผิดหวัง

 

 

การก้าวเข้าสู่ยุคของ AI อย่างเต็มตัว

ในช่วงราว 1-2 ปีมานี้คงไม่มีผู้ผลิตสมาร์ตโฟนแบรนด์ใดที่ไม่นำเอาฟีเจอร์ AI มาใส่ไว้ในผลิตภัณฑ์ของตนเอง มากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป ซึ่ง OPPO ก็เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่เน้นเรื่อง AI เป็นอย่างมาก โดยทาง OPPO ได้เริ่มสำรวจเทคโนโลยี AI แบบดั้งเดิมในด้านการประมวลผลภาพมาตั้งแต่ปี 2020 จากนั้นก็มีการเริ่มสร้างศูนย์ข้อมูล OPPO AI แห่งแรกเมื่อปี 2023 และมีการก่อตั้งศูนย์ OPPO AI ในปี 2024 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของ AI จนมาถึงตอนนี้ทาง OPPO ก็ได้ฝังความสามารถของ AI ไว้ในสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดแทบทุกซีรีส์ ไม่ว่าจะเป็น Find Series, Reno Series, A Series รวมทั้ง ACE Series ของ OnePlus และผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม IOT อีกหลายตัว

 

โดยเฉพาะสมาร์ตโฟนเรือธงใหม่ล่าสุดในตระกูล Find X8 Series นั้นมาพร้อมกับฟีเจอร์ AI แบบจัดเต็มทุกการใช้งาน ทั้งการจัดการด้านภาพ, การจัดการด้านเอกสาร และการจัดการเกี่ยวกับการแปลภาษา ดังนี้

 

AI Photo Remaster

ประกอบไปด้วยฟีเจอร์ AI ด้านภาพ 4 อย่างได้แก่

 

- AI Clarity Enhancer : สำหรับการเพิ่มความคมชัดให้กับภาพความละเอียดต่ำ เช่นบางส่วนของภาพที่เรา Crop ขยายเข้าไปซึ่งมักจะมีรายละเอียดที่ไม่คมชัด แต่ฟีเจอร์นี้สามารถฟื้นฟูรายละเอียด หรือความคมชัดให้ขึ้นมาอยู่ในระดับ 4K ได้อย่างสมจริง

 

- AI Reflection Remover : สำหรับการวิเคราะห์ส่วนของเงาสะท้อนในรูปภาพ ที่เกิดจากถ่ายภาพผ่านกระจก, หน้าต่าง, ชิงช้าสวรรค์ หรือรถกระเช้า และทำการลบให้โดยอัตโนมัติในคลิกเดียว

 

- AI Unblur : สำหรับการซ่อมแซมภาพเบลอที่เกิดจากการถ่ายภาพแล้วมือสั่น หรือสิ่งที่เคลื่อนไหว ให้กลายเป็นภาพที่คมชัด พร้อมการคืนความเป็นธรรมชาติให้กับผิว และเส้นผมได้ในคลิกเดียว

 

- AI Eraser : สำหรับการลบสิ่งที่ไม่ต้องการออกไปจากรูปภาพได้อย่างแนบเนียนเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นคน, วัตถุ, รอยเปื้อน หรืออื่น ๆ

 

AI Toolbox

ประกอบไปด้วยฟีเจอร์ AI ด้านข้อความ หรือเนื้อหา 3 อย่างได้แก่

 

- AI Writer : สำหรับช่วยตรวจสอบความถูกต้องของคำที่ใช้ในเนื้อหา รวมทั้งการปรับแก้, การขัดเกลา, การย่อความ หรือให้ AI ช่วยเขียนเนื้อหาต่อในสไตล์ที่เราเลือก

 

- AI Reply : สำหรับช่วยขจัดปัญหาในการตอบกลับข้อความให้เรา เช่นเมื่อเราไม่รู้ว่าจะเขียนข้อความตอบกลับคู่สนทนาว่าอย่างไรดี ซึ่ง AI สามารถช่วยแนะนำข้อความที่เหมาะสมให้เราได้ในสไตล์ที่ต่างกัน

 

- AI Summary : สำหรับช่วยสรุปเนื้อหาจากบทความ, เอกสาร, ข่าว หรือสูตรอาหารยาว ๆ ให้กลายเป็นเนื้อหาที่สั้น และอ่านง่ายมากขึ้น เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานได้อย่างทันทีทันใด

 

AI Assistance for Notes

ประกอบไปด้วยฟีเจอร์ AI ที่เป็นประโยชน์สำหรับการเขียนเนื้อหา ได้แก่

- Clean up and Polish : สำหรับช่วยขัดเกลาปรับปรุงการเขียน, แก้ไขไวยากรณ์ให้ถูกต้อง, ปรับแต่งสไตล์การเขียนทั้งเนื้อหา หรือเนื้อหาทั้งชุดได้ในคลิกเดียว

- Continue Writing : สำหรับช่วยสร้างข้อความเพิ่มเติมต่อจากเนื้อหาเดิมที่เราเขียนไว้อยู่แล้วให้มีความสอดคล้องกัน เพื่อช่วยต่อยอดเนื้อหา, สร้างแรงบันดาลใจ และสร้างเนื้อหาใหม่ ๆ

- Format : สำหรับช่วยปรับรูปแบบ หรือจัดระเบียบเนื้อหาให้อ่านได้ง่าย, ดูเป็นมืออาชีพ และให้ภาพลักษณ์ที่ดูดีในทุกหน้า

 

Documents

ประกอบไปด้วยฟีเจอร์ AI ที่เป็นประโยชน์สำหรับงานด้านเอกสาร ได้แก่

 

- Translate Documents : สำหรับช่วยแปลเอกสารทุกประเภทได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นเอกสารธุรกิจ, คู่มือทางเทคนิค หรือเอกสารส่วนบุคคล

 

- Summaries Documents : สำหรับช่วยสรุปประเด็นสำคัญอย่างชาญฉลาด จากเนื้อหาทั้งหมดในเอกสาร ซึ่งทำให้เราทราบรายละเอียดในภาพรวมได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการสรุปเป็นจุด ๆ และเน้นสิ่งที่สำคัญ เพื่อให้เข้าใจวัตถุประสงค์หลักที่ต้องการสื่อของเนื้อหาต้นฉบับ

 

AI Studio

ซึ่งมีฟีเจอร์ทีเด็ดอย่าง AI Reimage ที่ช่วยเปลี่ยนภาพถ่ายธรรมดา ๆ ของเราให้กลายเป็นภาพศิลปะได้ง่าย ๆ เพียงแค่เราเลือกเทมเพลตที่ชอบ ไม่ว่าจะเป็นภาพการ์ตูน, ภาพ 3 มิติ หรืออื่น ๆ แล้วรอให้ AI ประมวลผลเพียงแค่อึดใจเดียว เราก็จะได้ผลงานที่ดูมีสีสัน และมีความสร้างสรรค์มาโชว์เพื่อนแล้ว

 

เผยกระบวนการเข้มข้น กว่าจะมาเป็นโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง

ก่อนที่จะเข้าสู่การบรรยายรายละเอียดของขั้นตอนการกำเนิดของโทรศัพท์มือถือ OPPO แต่ละเครื่อง ทางเจ้าหน้าที่ก็ได้โชว์ความแข็งแกร่งทนทานของ OPPO A3 Pro ซึ่งเป็นสมาร์ตโฟนที่มีจุดขายเรื่องความแกร่งให้ชมกันต่อหน้า เริ่มที่คุณสมบัติของการทนน้ำนั้น OPPO A3 Pro นั้นรองรับมาตรฐานการทนน้ำ-ทนฝุ่นถึงระดับ IP69 ซึ่งนั่นก็หมายความว่า OPPO A3 Pro สามารถทนต่อการฉีดน้ำแรงดันสูงได้ถึงระดับ 100 bar, ทนต่อการทำความสะอาดด้วยไอน้ำ และสามารถแช่อยู่ในน้ำได้กว่าครึ่งชั่วโมง ดังนั้นแค่การเอาเครื่องจุ่มน้ำแบบนี้ OPPO A3 Pro นั้นสามารถรับมือได้แบบสบาย ๆ

นอกจากนี้ OPPO A3 Pro ยังมีคุณสมบัติของการป้องกันแรงกระแทกได้แบบ 360° ด้วยวัสดุที่มีความทนทานสูง ทั้งกระจกหน้าจอ Corning Gorilla Glass Victus 2 ที่ทนต่อแรงกระแทกได้ดีกว่าเดิม 180% พร้อมทนต่อรอยขีดข่วนได้ดีขึ้น 3 เท่า ส่วนที่ด้านหลังตัวเครื่องนั้นถูกปกป้องด้วยกระจก Crystal Shield Glass ที่พัฒนาโดย OPPO เอง ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการป้องกันได้ทั้งจากแรงกระแทก และการขีดข่วน โดยจะเห็นได้จากการที่ทางเจ้าหน้าที่ได้ทดสอบปล่อยเครื่อง OPPO A3 Pro ให้ตกพื้นหลายต่อหลายรอบ เครื่องก็ยังแทบไม่มีริ้วรอย และยังสามารถใช้งานได้ตามปกติเต็มระบบ

โดยเบื้องหลังกว่าจะกลายเป็นโทรศัพท์มือถือดี ๆ ทน ๆ สักเครื่องแบบที่เห็นอยู่นี้ หากนับจากศูนย์ หรือตั้งแต่ยังไม่มีอะไรเลยก็ต้องผ่านกระบวนการที่ละเอียดซับซ้อน, ใช้ความพิถีพิถัน และใช้ความรอบคอบ ซึ่งในภาพรวมจะมีอยู่ทั้งหมด 6 ขั้นตอนดังนี้คือ

 

1. ขั้นตอนวางแผนผลิตภัณฑ์ (Product Planning) ด้วยการทำการสำรวจตลาดอย่างลึกซึ้งว่าเป้าหมายของผลิตภัณฑ์นั้นจะสร้างมาเพื่อตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มใด หรือมีโอกาสมากน้อยแค่ไหน โดยอ้างอิงจากข้อมูลภาพรวมของผู้ใช้งานระดับล้านราย

 

2. ขั้นตอนการออกแบบ และพัฒนา (Product Design and Development) ตั้งแต่ดีไซน์ภายนอก, วัสดุ, ชิปเซ็ต, ฮาร์ดแวร์ภายใน ไปจนถึงระบบปฏิบัติการ ซึ่งต้องใช้การออกแบบอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้ทุกส่วนทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

3. ขั้นตอนการผลิต (Manufacture) โดยอาศัยเทคโนโลยีที่มีความถูกต้องแม่นยำในระดับไมโครเมตรเพื่อประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จำนวนกว่าพันชิ้น ที่แบ่งออกเป็น 128 ขั้นตอนหลัก เพื่อให้ได้คุณภาพการผลิตในระดับสูงสุด

 

4. ขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพ (Quality Testing) ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานสากลหลายสิบรายการ ซึ่งภายในห้องทดสอบจะมีการจำลองสภาพแวดล้อมตั้งแต่ -40°C ไปจนถึง 85°C โดยจะมีการตรวจสอบประสิทธิภาพของโทรศัพท์มือถือแต่ละเครื่องอย่างเข้มงวด เรียกว่าหากโทรศัพท์มือถือเครื่องใดทดสอบได้ไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนดไว้ก็จะไม่สามารถผ่านไปขั้นตอนต่อไปได้

 

5. ขั้นตอนการส่งผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด (Product Launch) โดยโทรศัพท์มือถือเครื่องที่ผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวดมาได้แล้วก็ถือว่าพร้อมในการนำออกสู่ตลาด และถูกจัดส่งไปไปจำหน่ายตามร้านค้าต่าง ๆ ทั่วโลกกว่า 3,300 แห่ง

 

6. ขั้นตอนการบริการหลังการขาย (After-Sale Service) เรียกว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญไม่แพ้ขั้นตอนใด โดยศูนย์บริการของ OPPO นั้นสามารถรองรับการบริการทั้งก่อนการขาย และหลังการขายได้แบบไร้รอยต่อ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้งานที่อยู่ในส่วนใดของโลก

 

ศูนย์การผลิตของ OPPO ทั่วโลก

มาถึงตอนนี้เราก็จะได้ทราบข้อมูลของศูนย์การผลิตของ OPPO ทั่วโลกทั้ง 9 แห่งกันแล้ว โดยเขตอุตสาหกรรมฉงชิ่งที่เรามาเยือนในครั้งนี้ถือเป็นฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุดของ OPPO ทั่วโลก ส่วนศูนย์การผลิตอื่น ๆ ก็นับว่ามีกำลังการผลิตที่น่าทึ่งดังนี้

- สวนอุตสาหกรรมฉางอาน นครตงกวน ถูกใช้เป็นฐานการผลิตหลักของ OPPO ทั่วโลก
- เขตอุตสาหกรรมในอินเดียว คือศูนย์การผลิตที่ใหญ่ที่สุดในต่างประเทศ ด้วยพื้นที่กว่า 450,000 ตารางเมตร พร้อมกำลังการผลิตต่อเดือนสูงสุดถึง 8.33 ล้านเครื่อง
- เขตอุตสาหกรรมอินโดนีเซีย มีกำลังการผลิตต่อเดือนสูงสุดถึง 2 ล้านเครื่อง
- โรงงานประเทศอียิปต์ ที่เพิ่งเริ่มการผลิตในเดือนกันยายน ปี 2024 มีกำลังการผลิตต่อเดือนสูงสุด 500,000 เครื่อง
- โรงงานปากีสถาน มีกำลังการผลิตต่อเดือนสูงสุด 300,000 เครื่อง
- โรงงานตุรกี มีกำลังการผลิตต่อเดือนสูงสุด 300,000 เครื่อง
- เขตอุตสาหกรรมบังกลาเทศ มีกำลังการผลิตต่อเดือนสูงสุด 240,000 เครื่อง
- สุดท้ายก็คือศูนย์การผลิตอัจฉริยะที่ประเทศบราซิล

 

ความใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อม กับการสร้างผลิตภัณฑ์สีเขียว

ในกระบวนการผลิต ทาง OPPO ไม่ได้ให้ความสำคัญเฉพาะเรื่องของคุณภาพของผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อมสีเขียว กับการสร้างผลิตภัณฑ์สีเขียวด้วย โดยหลอมรวมแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนตลอดวงจรชีวิตทั้งหมดของกระบวนการจัดการผลิตภัณฑ์ พร้อมให้คำมั่นว่าจะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนในการดำเนินงานภายในปี 2050 อีกทั้งยังได้กำหนดแนวทางของการพัฒนาที่ปล่อยคาร์บอนต่ำเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

 

หนึ่งในสัญลักษณ์ที่เกิดจากความใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อของ OPPO ก็คือ “ต้นไม้เทคโนโลยี” ที่สร้างขึ้นจากเศษวัสดุของแผงวงจรหลัก (PCB) ที่เหลือจากกระบวนการผลิตโทรศัพท์มือถือ โดยค่อย ๆ รังสรรค์อย่างตั้งใจโดยการติดด้วยมือ ทุกองค์ประกอบของต้นไม้ล้วนทำมาจากชิ้นส่วนของโทรศัพท์มือถือ ไม่ว่าจะเป็นกิ่ง, ก้าน, ใบ หรือรากต้นไม้ ซึ่งนี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ผลงานศิลปะชั้นเลิศเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นการปฏิบัติจริงของ OPPO ต่อแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อมสีเขียว

 

เจาะลึกสายการผลิตแผงวงจรหลักแบบ SMT

อีกโซนที่เรามีโอกาสได้เข้ามาเยี่ยมชมก็คือพื้นที่ของสายการผลิต SMT หรือ Surface Mounted Technology ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ๆ คือเครื่องติดตั้งชิ้นส่วนความเร็วสูงแบบรางคู่, เตาอบไนโตรเจนแบบรีโฟลว์ (การตรวจสอบ AOI) และการติดตั้งวัสดุเสริม

 

เริ่มกันที่ส่วนของ SMT ซึ่งเป็นกระบวนการหลักในการผลิตเมนบอร์ดของโทรศัพท์มือถือ โดยเมนบอร์ดของโทรศัพท์มือถือนับส่วนส่วนสำคัญอันดับแรกในการผลิตโทรศัพท์มือถือของ OPPO ด้วยเทคโนโลยีการติดตั้งชิ้นส่วนบนพื้นผิว (Surface Mounted Technology)

 

สายการผลิต SMT ของ OPPO มียอดการผลิตแผงวงจร PCB ต่อเดือนสูงถึง 4 ล้านแผ่น (ข้อมูลเฉลี่ยถึงเดือนมีนาคม 2021) โดยที่ฉงชิ่งนี้เริ่มผลิดแผ่นแรกเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2019 และล่าสุดมีกำลังการผลิตมากขึ้นเป็น 5 ล้านแผ่นต่อเดือน ซึ่งสะท้อนให้เห็นประสิทธิภาพของการผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สายการผลิตของโรงงานทั้งหมดใช้การออกแบบตั้งแต่ต้นจนจบแบบเส้นเดียวต่อเนื่องโดยไม่มีจุดขาด ด้วยความยาวกว่า 70 เมตร ประกอบด้วยการติดตั้งชิ้นส่วน, ทดสอบ, จ่ายกาว และติดตั้งวัสดุเสริม ทำให้การผลิตตั้งแต่ชิ้นส่วนขนาดเล็กไปจนถึงเมนบอร์ดที่มีความซับซ้อนสูงมีกระบวนการที่ไหลลื่น

 

ปัจจุบันระบบอัตโนมัติของโรงงานเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 90-95% นั่นคือจำนวนแรงงานต่อสายการผลิตลดลงเหลือเพียง 6 คน จากเดิม 11 คน จึงทำให้ความสามารถด้านการผลิตอยู่ในระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรม

 

ล่าสุดชิ้นส่วนที่เล็กที่สุดในเมนบอร์ดของ OPPO มีขนาดเพียง 0.4x0.2 มิลลิเมตร หรือเทียบเท่า 1 ใน 100 ของเหรียญ 1 เจี่ยว (1 ใน 10 ของหยวน) ด้วยความสามารถอันน่าทึ่งของเครื่องติดตั้งชิ้นส่วนความเร็วสูงแบบรางคู่จาก Siemens ของประเทศเยอรมนี ซึ่งมีจุดเด่นคือมีขนาดเล็ก, รองรับการออกแบบมอดูล และมีความแม่นยำสูง โดยแต่ละรางด้านหน้าใช้ติดตั้งชิ้นส่วนขนาดเล็ก เช่น ตัวเก็บประจุ, ตัวต้านทาน และตัวเหนี่ยวนำ ซึ่งการติดตั้งชิ้นส่วนขนาดเล็กในที่แคบถือว่าอยู่ในระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรม ส่วนที่ด้านหลังของรางจะใช้สำหรับติดตั้งชิ้นส่วนขนาดใหญ่ เช่นซีพียู และชิปหน่วยความจำ

 

หลังจากที่กระบวนการส่วนแรกนั่นคือการติดตั้งชิ้นส่วนทั้งหมดเสร็จสิ้น ก็จะมาถึงส่วนที่สองนั่นคือส่วนของเตาอบไนโตรเจนแบบรีโฟลว์ หรือการตรวจสอบด้วยระบบ AOI (Automated Optical Inspection) โดยแผงวงจรหลักจะถูกนำเข้าสู่เตาอบไนโตรเจนแบบรีโฟลว์ จากนั้นเตารีโฟลว์จะทำการบัดกรีระหว่างชิ้นส่วน และแผง PCB เข้าด้วยกัน หลังจากผ่านเตาอบแล้ว แผงวงจรหลักจะถูกส่งเข้าไปสู่เครื่อง AOI หลังเตา เพื่อใช้การตรวจสอบด้วยแสงอัตโนมัติอีกครั้ง พร้อมประเมินสถานะการบัดกรีของแผงวงจรหลักว่าได้คุณภาพตามเกณฑ์แล้วหรือไม่

 

เพื่อรับประกันความน่าเชื่อถือของกระบวนการติดตั้งชิ้นส่วนทั้งหมด ทาง OPPO ได้หันมาใช้เครื่องจักรอัตโนมัติแทนที่การปฏิบัติงานของแรงงานภายนอกกับแผงวงจรหลัก พร้อมตรวจสอบการติดตั้งชิ้นส่วนด้วยการจัดการแบบรวมศูนย์กับอุปกรณ์ AOI เพื่อรับประกันการตรวจจับความบกพร่อง โดยขณะนี้กระบวนการผลิตของ OPPO มีอัตราการผ่านตั้งแต่ครั้งแรกอยู่ในระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรมด้วยอัตราถึง 98.5% และด้วยพนักงานเพียง 1 คน ก็สามารถดูแลสายการผลิตได้พร้อมกันถึง 4 สาย

 

ถัดมาก็จะถึงสายการทดสอบแบบ 6 วงจร โดยแบ่งออกเป็น 5 กระบวนการย่อย ได้แก่ การดาวน์โหลด, การปรับเทียบ, การทดสอบแบบรวม, การทดสอบ WiFi และการตรวจสอบกระแสไฟฟ้า

 

ในปัจจุบันทาง OPPO สามารถลดต้นทุนแรงงานได้เป็นอย่างมาก ด้วยการเปลี่ยนเนื้องานของสายการทดสอบที่เคยใช้แรงงานคนถึง 90% ให้กลายเป็นงานที่ดำเนินการโดยใช้เครื่องจักร นั่นคือเดิมทีแต่ละกระบวนการต้องใช้พนักงาน 1 คน แต่ตอนนี้ทั้งกระบวนการทดสอบใช้พนักงานเพียง 1 คน นอกจากนี้ก็สามารถช่วยลดภาระการขนส่งภายในระหว่างแต่ละกระบวนการ และลดระยะเวลาการผลิตสินค้าได้ด้วย โดยสรุปแล้วบรรดาอุปกรณ์อัตโนมัติระดับสูงเหล่านี้นั้นสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการผลิตได้มาก รวมทั้งสามารถรับประกันความน่าเชื่อถือของแผงวงจรหลักได้อย่างเต็มที่

 

ไม่เพียงเท่านั้น ที่สายการผลิต SMT นี้ยังได้ติดตั้งระบบ MES, SCADA, EAM และ MCM เพื่อบรรลุสู่การผลิตอัจฉริยะ, การแสดงผลข้อมูลแบบมองเห็นได้ และความโปร่งใสของการจัดการ โดยสามารถจัดเก็บ-ติดตามข้อมูลได้, ตรวจสอบพารามิเตอร์สำคัญของอุปกรณ์ได้แบบเรียลไทม์, ตรวจจับความผิดปกติของอุปกรณ์โดยอัตโนมัติ พร้อมส่งคำเตือนแบบทันทีทันใด และติดตามอายุการใช้งานของชิ้นส่วนต่าง ๆ

ส่วนสุดท้ายในสายการผลิต SMT ก็คือส่วนของการติดตั้งวัสดุเสริม เพื่อทำการปกป้องแผงวงจรหลักที่ผ่านการทดสอบมาจากกระบวนการก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันแรงกระแทก, การป้องกันน้ำ และการป้องกันการแผ่รังสีแม่เหล็กไฟฟ้า เรียกว่าเป็นยกระดับความน่าเชื่อถือให้กับโทรศัพท์มือถือ

 

โดยกระบวนการติดตั้งวัสดุเสริมจะอาศัยเครื่องจ่ายกาว ซึ่งเครื่องจะจ่ายกาวลงบนแผงวงจรหลัก และชิ้นส่วนที่มองเห็นบนแผงวงจรหลัก เพื่อให้เกิดคุณสมบัติของการป้องกันน้ำ, ป้องกันการกระแทก และป้องกันการกัดกร่อน หลังจากการจ่ายกาวเสร็จสิ้น กาวก็จะถูกทำให้แข็งตัวด้วยการส่งเข้าสู่เตาอบ

หลังจากกาวแข็งตัวแล้วก็จะมาถึงขั้นตอนการติดตั้งวัสดุเสริมภายนอก ไม่ว่าจะเป็นซิลิโคนกันน้ำสำหรับขั้วต่อต่าง ๆ, แผ่นกราไฟต์สำหรับระบายความร้อน และแผ่นทองแดงสำหรับป้องกันสัญญาณรบกวน จนสามารถรับประกันได้ว่าแผงวงจรหลักมีคุณสมบัติของการป้องกันน้ำ และการระบายความร้อนตามมาตรฐานแล้ว โดยปัจจุบันการติดตั้งวัสดุเสริมนี้ทาง OPPO ก็ได้อาศัยการผลิตแบบอัตโนมัติอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมรับประกันความเสถียร และความน่าเชื่อถือของคุณภาพแผงวงจรหลัก ด้วยการนำเข้าเครื่องติดตั้งวัสดุเสริมอัตโนมัติจำนวน 4 เครื่อง

กระบวนการด้านการออกแบบวัสดุเสริมนี้ได้มีข้อกำหนดอยู่ในระดับสูง ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบหัวดูด และความถูกต้องแม่นยำในการหยิบจับวัสดุ โดยอาศัยเทคโนโลยีการติดตั้งแบบไม่มีฟิล์มสีน้ำเงิน ด้วยซิลิโคนกันน้ำ BTB แบบไม่มีฟิล์มที่มีพื้นที่ดูดจับเพียง 0.5 มิลลิเมตร

 

เพื่อตอบสนองข้อกำหนดของการผลิตในระดับที่สูงขึ้น โรงงาน SMT ที่ฉงชิ่งนี้สามารถผลิตวัสดุเสริมได้พร้อมกัน 6 ประเภทบนระบบรางคู่ จากการนำเข้าเครื่องติดตั้งวัสดุเสริมแบบแขนกลคู่ ซึ่งเมื่อเทียบกับเครื่องติดตั้งวัสดุเสริมแบบเดิมจะมีประสิทธิภาพของการติดตั้งเพิ่มขึ้น 30% และสามารถรองรับกับกระบวนการที่ซับซ้อนได้มากขึ้น 20%

เมื่อกระบวนการติดตั้งวัสดุเสริมข้างต้นเสร็จสิ้นลงแล้ว แผงวงจรหลักจะถูกส่งไปยังสายการประกอบหลักโดยตรง ซึ่งช่วยลดปริมาณสินค้าระหว่างผลิตได้เป็นจำนวนมาก จากเดิมที่ต้องส่งผ่านคลังสินค้าสำหรับชิ้นงานกึ่งสำเร็จรูป

 

เจาะลึกสายการประกอบขั้นสุดท้าย ก่อนบรรจุ และจัดส่ง

 

และแล้วเราก็เดินทางมาถึงโซนของสายการประกอบขั้นสุดท้าย (Final Assembly Line) ซึ่งประกอบไปด้วย 4 ส่วนสำคัญได้แก่ การเตรียมงานล่วงหน้า กับการติดตั้งหน้าจอ, อุปกรณ์ติดตั้งแบตเตอรี่อัตโนมัติ, การทดสอบ และการบรรจุ โดยสายการผลิตนี้เป็นสายการผลิตแบบครบวงจร มีความต่อเนื่องแบบไม่มีจุดขาด ซึ่งช่วยลดการหมุนเวียนสต็อก และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการผลิต ตั้งแต่การเตรียมงานล่วงหน้า, การประกอบชิ้นส่วน, การทดสอบตัวเครื่องทั้งหมด รวมทั้งการบรรจุผลิตภัณฑ์

 

สำหรับสายการประกอบขั้นสุดท้ายก็คือการประกอบชิ้นส่วนต่าง ๆ ของโทรศัพท์มือถือให้กลายมาเป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ซึ่งถือเป็นสายการผลิตที่มีความเป็นอัตโนมัติที่สุดในโรงงานฉงชิ่ง รวมทั้งมีระบบแดชบอร์ดดิจิทัลที่แม่นยำที่สุด เรียกว่าเป็นสายตรวจสอบอัตโนมัติอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งรวมแล้วมีอยู่ทั้งหมด 7 สายการผลิต

 

โดยโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งนั้นจะประกอบไปด้วย 4 ส่วนหลักได้แก่ หน้าจอ, กรอบกลาง, แบตเตอรี่ และฝาหลัง กระบวนการสำคัญอย่างแรกก็คือการติดตั้งหน้าจอแบบอัตโนมัติ และการกดหน้าจอให้แนบสนิท โดยหน้าจอที่ใช้ในโทรศัพท์มือถือรุ่นต่าง ๆ ในปัจจุบันของโรงงานฉงชิ่ง ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นของผู้ผลิตจอภาพรายใหญ่ที่สุดของจีนอย่าง BOE ซึ่งเมื่อเทียบกับการติดตั้งด้วยมือแล้ว อุปกรณ์ติดตั้งหน้าจอแบบอัตโนมัติจะมีความแม่นยำ และสม่ำเสมอมากกว่า นั่นคือมีอัตราความคลาดเคลื่อนน้อยลง เช่นความเอียงของการติดตั้งลดลงเหลือเพียง 0.3%

 

สำหรับส่วนของการประกอบแผงวงจรหลัก, แบตเตอรี่ และการติดตั้งวัสดุเสริมต่าง ๆ นั้นล้วนใช้เครื่องจักรในการดำเนินการ ซึ่งสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาบางอย่างจากการใช้แรงงานคน เช่นคุณภาพไม่สม่ำเสมอ, ประสิทธิภาพที่ต่ำในช่วงเริ่มต้นของคนงานใหม่ และความผิดพลาดจากความเหนื่อยล้าในการทำงานต่อเนื่อง

 

โดยสายการผลิตนี้มีอัตราความเป็นอัตโนมัติเพิ่มขึ้น 50% ผลผลิตต่อชั่วโมงเพิ่มขึ้น 12.5% ในขณะเดียวกันก็สามารถประหยัดแรงงานได้ 31 คนต่อ 1 สายการผลิต

 

ในส่วนของการประกอบกล้องถือว่าเป็นตำแหน่งงานที่สำคัญ ซึ่งมีข้อกำหนดด้านความสะอาดของอากาศสูง ดังนั้นเราจะเห็นว่ามีพนักงานบางคนทำงานอยู่ในพื้นที่คลีนบูธ โดยพื้นที่คลีนบูธนั้นให้ผลในการป้องกันฝุ่นได้ดีกว่า พร้อมทั้งใช้เทคนิคการเพิ่มน้ำหนักของฝุ่น เพื่อลดผลกระทบของฝุ่นที่มีต่อกล้อง ด้วยการติดตั้งเครื่องเพิ่มความชื้น และพัดลมขนาดเล็ก

 

ต่อมาก็คือส่วนของการติดตั้งแบตเตอรี่ ซึ่งขั้นตอนนี้ต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยมากเป็นพิเศษ เนื่องด้วยแบตเตอรี่นั้นเป็นชิ้นส่วนพลังงานสูง จึงต้องมั่นใจว่ามีความปลอดภัยทั้งต่อพนักงานที่อยู่ในกระบวนการผลิต และผู้บริโภคที่นำเครื่องไปใช้งาน โดยตั้งเป้าให้กระบวนการผลิต และการใช้งานของผู้บริโภคมีค่าอุบัติเหตุเป็นศูนย์ ดังนั้นเพื่อให้การติดตั้งแบตเตอรี่มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น ทาง OPPO จึงได้นำเครื่องจักรอัตโนมัติมาช่วย ตั้งแต่การป้องกันความปลอดภัยของวัสดุในทุกขั้นตอน, การป้องกันความปลอดภัยในกระบวนการผลิต และการตรวจสอบความปลอดภัยของแบตเตอรี่แบบหลายชั้น

 

หลังจากที่ผ่านการติดตั้งแบตเตอรี่แล้ว เครื่องก็จะมาถึงขั้นตอนของการประกอบฝาหลัง ด้วยการใช้เครื่องจักรอัตโนมัติกดให้แนบสนิท ซึ่งในเบื้องต้นก็ถือว่าโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่ก่อนที่จะเครื่องจะถูกส่งออกสู่ตลาดจริงก็ต้องผ่านขั้นตอนการทดสอบอย่างเข้มงวดในตอนท้ายก่อน

 

โดยโทรศัพท์มือถือจะถูกเคลื่อนย้ายจากรางหนึ่งไปยังอีกรางหนึ่งเพื่อเข้าสู่สายการทดสอบอัตโนมัติ ซึ่งจะมีการตรวจสอบอย่างน้อย 30 รายการ เช่นกล้องถ่ายภาพ, หน้าจอ, การรับ-ส่งสัญญาณ, ระบบเสียง และอื่น ๆ โดยโทรศัพท์มือถือแต่ละเครื่องจะถูกเชื่อมต่อเข้ากับแดชบอร์ดดิจิทัลที่สามารถอัปเดตข้อมูลของแต่ละสถานีงานได้แบบเรียลไทม์ จนเกิดเป็นระบบการทำงานแบบออนไลน์ที่ตัวชี้วัดสามารถมองเห็นได้ และมีความโปร่งใสในการจัดการ ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยให้สามารถป้องกันความผิดพลาดข้ามกระบวนการ กับป้องกันการใช้วัสดุผิดได้ 100%

 

และแล้วก็มาถึงขั้นตอนสุดท้ายนั่นคือส่วนของการบรรจุ ซึ่งเครื่องที่เดินทางมาถึงจุดนี้ได้จะมีเฉพาะเครื่องที่ผ่านการทดสอบหลายรายการ และการตรวจสอบลักษณะภายนอกอย่างเข้มงวดจนมีความสมบูรณ์แล้ว โดยขั้นตอนการประกอบก็จะอาศัยระบบอัตโนมัติเป็นหลักเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการเขียนหมายเลขซีเรียล, การแกะกล่องสี, การบรรจุตัวเครื่อง, การบรรจุสายชาร์จ, การบรรจุสายดาต้า และอื่น ๆ

 

โดยสายการผลิตนี้สามารถผลิตสมาร์ตโฟน A Series ได้ครอบคลุมทุกรุ่นย่อย รวมทั้งมีการใช้งานรถลำเลียงสินค้าอัตโนมัติ หรือรถ AGV (Automated Guided Vehicle) สำหรับการจัดส่งวัสดุ ช่วยให้ระบบโลจิสติกส์ในกระบวนการผลิตทั้งหมดบรรลุความเป็นอัตโนมัติ, ความอัจฉริยะ, ความยืดหยุ่น และความปลอดภัย เรียกว่าสายการผลิตของ OPPO นั้นบรรลุการผลิตแบบอัตโนมัติตั้งแต่การประกอบชิ้นส่วน ไปจนถึงการบรรจุเพื่อจัดส่งได้อย่างหมดจด

 

สรุปส่งท้ายกับภารกิจทัวร์โรงงาน OPPO ฉงชิ่ง

สุดท้ายนี้ก็ต้องขอขอบคุณทาง OPPO (ประเทศไทย) ที่มอบโอกาสพิเศษนี้ให้กับพวกเราทีมงาน Thaimobilecenter เพื่อให้ได้เข้าไปเห็นกระบวนการต่าง ๆ ภายในโรงงาน OPPO ที่นครฉงชิ่งแห่งนี้ด้วยตาตัวเอง ทำให้เรา ๆ ท่าน ๆ ได้มั่นใจว่ากว่าจะออกมาเป็นโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งได้นั้น ทาง OPPO นั้นต้องใส่ใจในขั้นตอนต่าง ๆ และทุ่มทุนไปมหาศาลขนาดไหน เพื่อให้ได้คุณภาพในระดับสูงสุด จึงไม่น่าแปลกใจที่ในที่สุดแบรนด์ OPPO ก็ก้าวเข้าสู่แบรนด์ชั้นนำในตลาดสมาร์ตโฟนโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิครับ

 

 


วันที่ : 29/5/2568



Cookie Consent

Our website uses cookies to provide your browsing experience and relavent informations.Before continuing to use our website, you agree & accept of our Cookie Policy & Privacy