เปรียบเทียบ iPhone XR, iPhone XS, iPhone XS Max และ iPhone X แตกต่างกันอย่างไร ยังน่าซื้อไหมในปี 2021 ?
ถึงแม้จะเข้าสู่ปี 2021 แล้ว แต่ iPhone รุ่นเก่าก็ยังเป็นที่ต้องการในตลาดอยู่ ซึ่งตอนนี้ก็มีราคาที่ถูกลงไปมาก หลายคนจึงมองหารุ่นเก่าๆ เพื่อประหยัดเงิน โดยเฉพาะรุ่น iPhone X, iPhone Xs, iPhone Xs Max และ iPhone Xr ที่มีดีไซน์และสเปกใกล้เคียงกัน แต่คำถามก็คือ เราควรจะเลือกซื้อรุ่นไหนในปี 2021 ถึงจะคุ้มค่าที่สุด ในวันนี้ทีมงาน Thaimobilecenter จึงขอนำไอโฟนทั้ง 4 รุ่นมาเปรียบเทียบ และวิเคราะห์ความน่าซื้อ เพื่อช่วยประกอบการตัดสินใจของทุกท่านกันครับ
ดีไซน์ตัวเครื่อง
เริ่มต้นที่ดีไซน์กันก่อน โดยทั้ง iPhone XR, iPhone XS, iPhone XS Max และ iPhone X ยังคงมีดีไซน์ที่คล้ายคลึงกัน ด้วยหน้าจอแสดงผลแบบชิดขอบ ไร้ปุ่มโฮมที่ด้านล่าง พร้อมรอยบากที่ด้านบนสำหรับติดตั้งระบบกล้องหน้าแบบ TrueDepth เพื่อใช้ร่วมกับระบบปลดล็อกด้วยใบหน้าแบบ Face ID แต่ทั้ง 4 รุ่นจะมีความแตกต่างในเรื่องของขนาดหน้าจอ และชนิดของหน้าจอ โดย iPhone XS Max มาพร้อมกับจอ OLED ขนาดใหญ่สุดที่ 6.5 นิ้ว ส่วนทางด้าน iPhone XR มาพร้อมกับจอแบบ LCD Liquid Retina ขนาด 6.1 นิ้ว ส่วนทางด้าน iPhone XS ยังคงมาพร้อมกับจอ OLED ขนาดเท่ากับ iPhone X ที่ 5.8 นิ้ว
ส่วนตัวเครื่องด้านหลังยังคงมีความคล้ายคลึงกัน ด้วยกล้องหลังแบบคู่ที่จัดเรียงในแนวตั้ง พร้อมบอดี้ที่ผลิตมาจากสเตนเลส สตีล ผสานกระจกทั้งด้านหน้า และด้านหลัง แต่ในรุ่น iPhone XR จะมีความแตกต่างเล็กน้อย ด้วยบอดี้ที่ผลิตมาจากวัสดุอะลูมิเนียมผสานกันกับกระจก และกล้องหลังเพียงตัวเดียว แต่ก็ทดแทนด้วยสีสันที่มีตัวเลือกมากกว่า นอกจากนี้ ทั้ง 4 รุ่นยังมีความแตกต่างในเรื่องของคุณสมบัติกันน้ำกันฝุ่น โดย iPhone XS และ iPhone XS Max มาพร้อมกับคุณสมบัติกันน้ำระดับ IP68 สามารถกันน้ำได้ลึก 2 เมตร เป็นเวลานาน 30 นาที ส่วนทางด้าน iPhone XR และ iPhone X มาพร้อมกับคุณสมบัติกันน้ำระดับ IP67 สามารถกันน้ำได้ลึก 1.5 เมตร เป็นเวลานาน 30 นาที
สเปก
สำหรับทางด้านสเปกนั้นถือว่ามีการยกเครื่องครั้งใหญ่เลยทีเดียว โดย iPhone XR, iPhone XS และ iPhone XS Max มาพร้อมกับชิปเซ็ตประมวลผลตัวใหม่ในชื่อ Apple A12 Bionic ซึ่งเป็นชิปเซ็ตประมวลผลแบบ 6 แกน (Hexa-Core Processor) ที่ผลิตด้วยสถาปัตยกรรมระดับ 7 นาโนเมตรเป็นรุ่นแรกของ Apple มีจุดเด่นด้านการประมวลผลที่เร็วแรงขึ้นจากรุ่น Apple A11 Bionic ราว 15% ในขณะที่ประหยัดพลังงานสูงสุด 50% ส่วนทางด้านหน่วยประมวลผลกราฟิก มาพร้อมกับ GPU แบบ 4 แกน สามารถประมวลผลได้เร็วขึ้นจากรุ่น Apple A11 Bionic ราว 50% ด้วยกัน รวมทั้งยังมาพร้อมกับชิป Neural Engine แบบ 8 แกน สำหรับช่วยประมวลผลเกี่ยวกับการทำ Machine Learning และการถ่ายภาพ
กล้องถ่ายภาพ
สำหรับกล้องถ่ายภาพด้านหน้าของ iPhone ทั้ง 4 รุ่น ยังคงเลือกใช้งานกล้องแบบ TrueDepth Camera ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.2 ที่รองรับการถ่ายภาพเซลฟี่แบบหน้าชัดหลังเบลอด้วยกันทั้งหมด แต่สำหรับ iPhone รุ่นใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไปจะมาพร้อมกับนวัตกรรม Advanced Bokeh และ Depth Control ที่ช่วยให้การทำโบเก้ รวมถึงการละลายฉากหลังทำได้ดีกว่า
ส่วนทางด้านกล้องหลังก็มีความแตกต่างเช่นเดียวกัน เพราะถึงแม้ว่า iPhone XS และ iPhone XS Max จะมาพร้อมกับกล้องหลังคู่แบบ iPhone X และมีความละเอียดเท่ากันที่ 12 + 12 ล้านพิกเซล แต่เลือกใช้เซ็นเซอร์รับภาพตัวใหม่ที่ช่วยให้การเก็บรายละเอียด รวมถึง Dynamic Range ทำได้ดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับฟังก์ชันใหม่อย่าง Smart HDR สำหรับช่วยเก็บภาพในสภาวะแสงจ้า และสภาวะย้อนแสง รวมถึงฟังก์ชันปรับระดับความเบลอได้เองผ่านการจำลองค่ารูรับแสง (ค่า F) ตั้งแต่ F/1.4 ไปจนถึง F/16
ส่วนทางด้าน iPhone XR แม้จะใช้งานกล้องหลังเพียงแค่ตัวเดียว แต่ก็สามารถถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอผ่านโหมด Portrait ได้เช่นเดียวกัน รวมทั้งยังสามารถปรับระดับของการเบลอได้อีกด้วย
คุณสมบัติอื่นๆ
นอกเหนือจากความแตกต่างด้านต้นแล้ว iPhone XR, iPhone XS และ iPhone XS Max ยังมีความแตกต่างกับ iPhone X ในเรื่องของขนาดวามจุ เนื่องจาก iPhone XS และ iPhone XS Max มีให้เลือกถึง 3 ความจุ ได้แก่ รุ่น 64GB, 256GB และ 512GB ต่างจาก iPhone X ที่มีให้เลือกเพียง 2 ความจุ คือ 128GB และ 256GB ส่วนทางด้านรุ่น iPhone XR มีให้เลือกทั้งหมด 3 ความจุ ได้แก่ 64GB / 128GB / 256GB
iPhone XS, iPhone XS Max
iPhone XR
นอกจากนี้ iPhone XR, iPhone XS และ iPhone XS Max ยังมีความแตกต่างกับ iPhone X ในเรื่องของสีสันด้วย โดย iPhone XS และ iPhone XS Max มีการเพิ่มสีใหม่อย่าง สีทอง ต่างจาก iPhone X ที่มีให้เลือกเพียง 2 เฉดสี ได้แก่ สีเทา และสีเงิน ส่วนทางด้าน iPhone XR มีสีสันให้เลือกจุใจถึง 6 สี ได้แก่ สีแดง Product RED, สีเหลือง, สีขาว, สีส้มอมแดง (Coral), สีดำ และสีน้ำเงิน ซึ่งนับว่าเป็นการนำสีสันกลับเข้ามาสู่ iPhone อีกครั้งหลังจากเคยเปิดตัว iPhone 5c ไปเมื่อช่วงปี 2013
ที่สำคัญในรุ่น iPhone XS และ iPhone XS Max ยังมาพร้อมกับความสามารถใหม่อย่างการรองรับ 2 ซิมการ์ด Dual-SIM Dual Standby ทำให้สามารถโทรออก หรือรับสายได้จากทั้ง 2 ซิมการ์ด โดยโมเดลที่วางจำหน่ายทั่วโลก จะรองรับการใช้งานซิมการ์ดแบบ nano-SIM 1 ซิมการ์ด + ซิมการ์ดแบบ eSIM ที่ฝังไว้ภายในตัวเครื่อง (ผู้ให้บริการเครือข่ายในประเทศนั้นๆ ต้องรองรับบริการ eSIM ด้วยจึงจะสามารถใช้งานได้) ส่วนโมเดลที่วางจำหน่ายใน จีน, ฮ่องกง และมาเก๊า จะรองรับการใช้ซิมแบบ nano-SIM จำนวน 2 ซิมการ์ดพร้อมกันในเครื่องเดียว (ไม่มี eSIM) และมีให้เลือกเฉพาะรุ่น iPhone XS Max เท่านั้น
ตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติ และสเปก
iPhone X ในปี 2021
ในเชิงประสิทธิภาพ iPhone X จัดว่ายังใช้งานได้คล่องมืออยู่ แต่ชิปเซ็ต Apple A11 Bionic (10nm) ก็เป็นเทคโนโลยีเก่า และมีประสิทธิภาพต่ำกว่าชิปรุ่นใหม่ๆ มาก อีกทั้ง iPhone X เปิดตัวออกมาแล้วถึง 4 ปีเต็ม (2017) ปกติแล้ว Apple จะสนับสนุนอัปเดต iOS ให้ iPhone ทุกรุ่นอย่างน้อย 4-5 ปี หมายความว่า iPhone X จะเหลือเวลาการสนับสนุนอัปเดตอีกไม่เกิน 2 ปี ซึ่งล่าสุดก็ได้รับการยืนยันแล้วว่าจะได้อัปเดต iOS 15 แต่ก็มีโอกาสน้อยที่จะได้ไปต่อหลังจากนี้ ด้วยเหตุนี้ iPhone X จึงไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเท่าไหร่สำหรับปี 2021
iPhone X เครื่องแท้ศูนย์ไทยมือหนึ่งในตอนนี้หายากมาก เนื่องจาก Apple ได้เลิกขายรุ่นนี้อย่างเป็นทางการไปแล้ว เครื่องที่วางขายตามร้านตู้ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องนอก หรือถ้าเป็นเครื่องศูนย์ไทยก็มักจะเป็นเครื่องมือสอง หรือ refurbished จากการสำรวจตลาดในเบื้องต้น iPhone X เครื่องนอกมือหนึ่งมีราคาเริ่มต้นประมาณ 14,000 บาท (ต้องใช้ R-sim เพื่อให้ใช้เครือข่ายในไทยได้) ส่วนเครื่องไทยมือสองสภาพนางฟ้า ก็จะอยู่ที่ราวๆ 12,000 บาทขึ้นไป ถ้าอยากได้ iPhone X จริงๆ แนะนำว่าควรซื้อในราคาไม่เกินนี้ครับ
iPhone Xs / Xs Max ในปี 2021
iPhone Xs / Xs Max เป็นรุ่นที่สเปกดีกว่า iPhone X เล็กน้อย แต่ Apple ก็เลิกขายรุ่นนี้ไปแล้วเช่นกัน อย่างไรก็ดี เครื่องมือหนึ่งยังพอหาซื้อได้จากโอเปอเรเตอร์ หรือตามร้านตู้ต่างๆ ได้ แต่ราคาเครื่องเปล่าของโอเปอเรเตอร์จะค่อนข้างแพง หากต้องการราคาที่ถูกลงก็จำเป็นต้องสมัครแพ็คเกจติดสัญญาตามเงื่อนไข ซึ่งบวกลบแล้วราคาก็แทบจะไม่ต่างกับ iPhone 11 รุ่นใหม่เลย จึงไม่คุ้มกับการลงทุนเท่าไหร่ ขณะเดียวกัน ราคาเครื่องแท้มือหนึ่งตามร้านตู้จะถูกกว่ามาก โดยจะเริ่มต้นที่ประมาณ 16,000 บาท ส่วนยราคามือสองสภาพสวยจะอยู่ที่ 14,000 - 15,000 บาทครับ
iPhone Xr ในปี 2021
iPhone Xr เป็นตระกูล X เพียงรุ่นเดียวที่ Apple ยังขายอยู่ จึงหาเครื่องไทยมือหนึ่งได้ง่าย ซึ่งในขณะนี้เครื่องมือหนึ่งจะมีราคาอยู่เริ่มที่ 18,400 บาท ในส่วนของประสิทธิภาพและเทคโนโลยีโดยรวมยังถือว่าไม่ล้าหลังมากนัก ชิปเซ็ต Apple A12 Bionic (7nm) ยังแรงพอที่จะเล่นเกมใหม่ๆ ในปัจจุบันได้อยู่ และรองรับการใช้งานด้านอื่นๆ ได้ครบถ้วน อีกทั้งยังมีสีสันให้เลือกเยอะ โดยรวมถือว่าน่าสนใจกว่า iPhone X และ iPhone Xs / Xs Max แต่จุดที่ต้องพิจารณาคือกล้องถ่ายรูปที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เมื่อเทียบกับ iPhone รุ่นใหม่ๆ และไม่มีเทคโนโลยี Deep Fusion ทำให้ภาพออกมาอาจจะดูไม่คมเท่ากับถ่ายด้วย iPhone 11 หรือ iPhone 12 อีกทั้งยังไม่มีเลนส์ Ultra Wide ซึ่งเป็นเลนส์ยอดนิยม ทำให้คุณสมบัติด้านการถ่ายรูปไม่ค่อยยืดหยุ่น
ด้วยเหตุผลข้างต้น iPhone Xr เป็นตัวเลือกที่น่าซื้อกว่า iPhone X และ iPhone Xs / Xs Max แต่เมื่อพิจารณาจากราคา 18,400 บาทแล้วก็ยังรู้สึกไม่คุ้มค่าเท่าไหร่อยู่ดี เพราะเพิ่มเงินอีกเพียงไม่กี่พันบาทก็จะได้ iPhone 11 มือหนึ่ง หรือ iPhone 12 mini แล้ว หรือถ้าไม่ติดใจเรื่องหน้าจอ iPhone SE (2020) ก็ยังคุ้มกว่ามาก เพราะแรงพอๆ กับ iPhone 11 แถมมีราคาเริ่มต้นเพียง 14,900 บาทเท่านั้น
สรุป
จากเหตุผลทั้งหมดข้างต้น ทางทีมงานเชื่อว่า iPhone Xr คือรุ่นที่น่าซื้อที่สุดในเวลานี้ เมื่อเทียบกับ iPhone X, Xs และ Xs Max แต่เมื่อพิจารณาจากปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย iPhone Xr ก็ยังไม่ถือว่าคุ้มค่าที่สุดอยู่ดี เพราะเป็นรุ่นที่ค่อนข้างเก่าและมีราคาแพงเมื่อเทียบกับ iPhone SE (2020) รุ่นใหม่ซึ่งสเปกดีกว่ามาก หาซื้อเครื่องแท้ง่าย และมีราคาแค่ 14,900 บาท เพียงแต่ยังเป็นดีไซน์เก่าที่มีขอบจอกับปุ่มโฮมอยู่เท่านั้น
นอกจากนี้ iPhone 13 รุ่นใหม่ล่าสุด จะเปิดตัวในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า (กันยายน - ตุลาคม) ซึ่งจะทำให้ iPhone รุ่นเก่าทุกรุ่นมีราคาที่ถูกลงไปอีก ดังนั้นถ้าไม่รีบควรรอซื้อ iPhone รุ่นเก่าหลังจากเปิดตัว iPhone 13 ไปแล้วจะดีกว่าครับ
นำเสนอบทความโดย : thaimobilecenter.com
วันที่ : 12/07/2564