ผลสำรวจเผย คน Gen Z นิยมใช้ iPhone มากกว่า Android เพราะไม่อยากแปลกแยก
Financial Times รายงานว่า คนรุ่นใหม่ในปัจจุบันมีแนวโน้มจะเลือกซื้อ iPhone กันมากขึ้น เพราะกังวลว่าจะแปลกแยกจากสังคมหากไม่ได้ใช้ iPhone และยังมีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าและบริการอื่น ๆ ของ Apple เพิ่มด้วย ทำให้ส่วนแบ่งทางการตลาดของ Apple เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา
สถิติล่าสุดเปิดเผยว่า กลุ่มคน Gen Z หรือคนที่เกิดหลังปี ค.ศ. 1996 (พ.ศ. 2539) เป็นต้นไป เป็นผู้ใช้กลุ่มใหญ่ที่สุดของ iPhone ในสหรัฐอเมริกา โดยคิดเป็น 36% ของผู้ใช้ทั้งหมด ในขณะที่กลุ่มผู้ใช้สมาร์ทโฟน Samsung ที่เป็น Gen Z มีแค่ 10% เท่านั้น ส่วนกลุ่มผู้ใช้ที่มีอายุมากขึ้นมีสัดส่วนการใช้ iPhone และมือถือ Android พอ ๆ กัน
ความนิยมในหมู่คนรุ่นใหม่ไม่ได้หยุดอยู่แค่ iPhone เท่านั้น แต่ยังกระจายไปยังสินค้าอื่นด้วย เพราะเมื่อซื้อ iPhone แล้วก็มักจะซื้อสินค้าอื่นของ Apple อย่าง AirPods, Apple Watch และคอมพิวเตอร์ตระกูล Mac มาใช้คู่กันด้วย โดยข้อมูลของบริษัทวิเคราะห์ทางการตลาด Canalys ระบุว่า ทุก ๆ ยอดขาย iPhone 100 เครื่อง จะมียอดขาย iPad 26 เครื่อง, Apple Watch 17 เรือน และหูฟัง AirPods 35 คู่ ในขณะที่เสาหลักของ Android อย่าง Samsung นั้น ทุก ๆ ยอดขายสมาร์ทโฟน 100 เครื่อง จะมียอดขายแท็บเล็ต 11 เครื่อง, นาฬิกาสมาร์ทวอทช์ 6 เรือน และหูฟัง 6 คู่เท่านั้น ซึ่งเป็นตัวเลขที่น้อยกว่ามาก แม้ว่าราคาขายเฉลี่ยของ iPhone จะแพงกว่ามือถือ Android ถึง 3 เท่าก็ตาม
สาเหตุที่ทำให้เทรนด์นี้กำลังมาแรงในกลุ่มคนรุ่นใหม่ เชื่อว่าเป็นเพราะคน Gen Z ใช้เวลา Online เยอะที่สุดในทุก Gen โดยใช้เวลาอยู่กับจอสมาร์ทโฟนถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน อีกทั้งชาวอเมริกันยังนิยมติดต่อสื่อสารกันด้วยการส่งข้อความ ฟีเจอร์ iMessage บน iPhone จึงกลายเป็นช่องทางสื่อสารหลักของวัยรุ่น ส่งผลให้คนรุ่นใหม่ต้องเลือกใช้ iPhone ตาม ๆ กันเพื่อให้พูดคุยสื่อสารกับคนใน Gen เดียวกันได้โดยไม่รู้สึกแปลกแยก
อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่า iMessage จะไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำให้เทรนด์นี้มาแรง เพราะในกลุ่มประเทศที่ไม่นิยม iMessage อย่างโซนยุโรปก็เริ่มมีเค้าลางของเทรนด์นี้ให้เห็นแล้ว โดยผลสำรวจล่าสุดจาก Canalys ระบุว่า 83% ของคน Gen Z ที่ใช้ iPhone ยังคงตั้งใจจะใช้ iPhone ต่อไป
ยิ่งคน Gen Z มีอายุมากขึ้น เทรนด์นี้ก็จะยิ่งเติบโตไปด้วย และจะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งตลาดของ Apple มากขึ้นไปอีก ทำให้คู่แข่งเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ยาก และแข่งขันลำบากกว่าเดิม
ที่มา : macrumors, Financial Times
วันที่ : 22/2/2566
