เปรียบเทียบ iPhone 12 vs Samsung Galaxy S20 FE 5G สองสมาร์ทโฟน 5G ใหม่ล่าสุด รุ่นไหนมีจุดเด่นอย่างไร มาดูกัน!
เปิดตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับ iPhone 12 ไอโฟนรุ่นใหม่ที่ได้รับการปรับปรุงดีไซน์ รวมถึงการอัปเกรดสเปกในหลายๆ ด้าน โดยในปีนี้ Apple เปิดตัวให้เห็นถึง 4 รุ่นด้วยกันนั่นก็คือ iPhone 12 Mini, iPhone 12, iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max
โดยหากพิจารณาจากราคาเปิดตัวไอโฟนรุ่นใหม่แต่ละรุ่นแล้ว จะเห็นได้ว่า iPhone 12 รุ่นปกติที่เปิดราคาขายเริ่มต้นที่ 799 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 25,000 บาท มีราคาวางจำหน่าย และคุณสมบัติโดยรวมอยู่ในระดับใกล้เคียงกับมือถือเรือธงต่างแบรนด์อย่าง Samsung Galaxy S20 FE 5G ที่เปิดราคาขายในประเทศไทยที่ 23,900 บาท
เชื่อว่าหลายท่านอาจกำลังสงสัยว่า ระหว่าง iPhone 12 และ Samsung Galaxy S20 FE 5G จะมีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง? และรุ่นไหนเหมาะกับใคร? วันนี้ทางทีมงานสรุปข้อมูลประกอบการตัดสินใจมาให้กับทุกท่านเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ
ตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติในเบื้องต้นระหว่าง iPhone 12 vs Samsung Galaxy S20 FE
เปรียบเทียบดีไซน์ และหน้าจอแสดงผลระหว่าง iPhone 12 vs Samsung Galaxy S20 FE 5G
iPhone 12 มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผล Super Retina XDR Display ขนาด 6.1 นิ้ว โดยเป็นหน้าจอแบบ OLED ที่มีรอยบากด้านบน ส่วนทางด้าน Samsung Galaxy S20 FE 5G มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลแบบ Super AMOLED ขนาดใหญ่กว่า 6.5 นิ้ว โดยเป็นหน้าจอที่มีพื้นฐานการพัฒนามาจากหน้าจอแบบ OLED เช่นเดียวกับ iPhone 12
แต่ Galaxy S20 FE 5G ดูจะได้เปรียบกว่าในด้านของความลื่นไหล เนื่องจากมาพร้อมกับค่า Refresh Rate ของหน้าจอแสดงผลระดับ 120Hz ซึ่งหมายความว่าใน 1 วินาที ภาพจะมีการรีเฟรซภาพเป็นจำนวน 120 ครั้ง เพื่อช่วยลดอาการภาพขาด (Screen Tearing) ส่งผลให้การแสดงผลจะดูมีความลื่นไหลเนียนตามากกว่าหน้าจอแบบ 60Hz ที่ใช้บนสมาร์ทโฟนทั่วไป รวมถึง iPhone 12
แม้ว่า iPhone 12 จะไม่ได้ใส่หน้าจอ 120Hz แบบเดียวกับ iPad Pro หรือมือถือ Android รุ่นอื่นๆ มาให้ด้วย แต่ก็ทดแทนด้วยการเลือกใช้เทคโนโลยีกระจกหน้าจอแบบ Ceramic Shield สำหรับปกป้องหน้าจอแสดงผล โดย Apple เปิดเผยว่า จะมีความแข็งแกร่งกว่ากระจกหน้าจอสมาร์ทโฟนทั่วไปถึง 4 เท่า ขณะที่ Galaxy S20 FE 5G ยังคงเลือกใช้กระจก Gorilla Glass 3 ไม่ใช่กระจก Gorilla Glass Victus เวอร์ชันใหม่ล่าสุดเหมือนกับรุ่น Galaxy Note20 Series
เปรียบเทียบสเปกระหว่าง iPhone 12 vs Samsung Galaxy S20 FE 5G
ในปีนี้ iPhone 12 เลือกใช้ชิปเซ็ต Apple A14 Bionic ซึ่งถือว่าเป็นชิปเซ็ตสำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโลกที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีการผลิตระดับ 5 นาโนเมตร โดย Apple ระบุว่า เป็นชิปเซ็ตสำหรับมือถือที่เร็วที่สุดในวงการ ณ ตอนนี้
ส่วนทางด้าน Samsung Galaxy S20 FE 5G มาพร้อมกับชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 865 ที่ผลิตด้วยสถาปัตยกรรมระดับ 7 นาโนเมตร ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในชิปเซ็ตสมาร์ทโฟนจากฝั่ง Android ที่เร็วที่สุด ณ ชั่วโมงนี้เช่นเดียวกันด้วยคะแนน AnTuTu ที่สามารถทำได้เกือบ 600,000 คะแนน
แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งสองรุ่นจะมีความแตกต่างในเรื่องของความจุ เนื่องจาก iPhone 12 รุ่นเริ่มต้นจะมาพร้อมกับความจุ 64GB และไม่สามารถเพิ่มหน่วยความจำเสริม microSD Card ได้ ขณะที่ Samsung Galaxy S20 FE 5G มาพร้อมกับความจุเริ่มต้นที่ 128GB และยังสามารถเพิ่มหน่วยความจำเสริมแบบ microSD Card ได้สูงสุดที่ขนาด 1TB ซึ่งน่าจะตอบโจทย์ผู้ใช้ที่ชื่นชอบเก็บไฟล์ภาพ หรือไฟล์เอกสารต่างๆ ไว้บนสมาร์ทโฟนเป็นอย่างดี
เปรียบเทียบแบตเตอรี่ระหว่าง iPhone 12 vs Samsung Galaxy S20 FE 5G
แม้ว่า iPhone 12 จะไม่ได้เปิดเผยขนาดของแบตเตอรี่ให้ทราบ แต่หากพิจารณาจากสถาปัตยกรรมของชิปเซ็ตที่เล็กลงแล้ว ก็น่าจะทำให้ iPhone 12 สามารถใช้งานได้ยาวนานกว่า iPhone 11 พอสมควร ประกอบกับการได้ใช้หน้าจอแบบ OLED ที่สามารถแสดงสีดำได้อย่างแท้จริง เพราะหน้าจอจะไม่มีการเปล่งแสง ทำให้ใช้งานร่วมกับ Dark Mode ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ขณะที่ Samsung Galaxy S20 FE 5G มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 4500mAh ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณแบตเตอรี่ที่มากกว่ารุ่นเรือธงอย่าง Galaxy S20 ด้วย แต่อย่างไรก็ดี ทั้งสองรุ่นจะมีความแตกต่างในเรื่องของระบบชาร์จ เนื่องจาก iPhone 12 จะรองรับการชาร์จไวแบบเสียบสายที่ความเร็วสูงสุด 20W พร้อมรองรับการชาร์จไวแบบไร้สายผ่านระบบ MagSafe สูงสุดที่ 15W และรองรับการชาร์จไว้แบบไร้สายผ่านระบบ Qi ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกับระบบชาร์จไร้สาย Android ที่ความเร็วสูงุสด 7.5W ขณะที่ Samsung Galaxy S20 FE 5G รองรับระบบชาร์จไวแบบเสียบสายที่ความเร็วสูงสุด 25W และรองรับการชาร์จไร้สายผ่านระบบ Qi ที่ความเร็ว 15W
และที่สำคัญ Galaxy S20 FE 5G ยังรองรับระบบ Wireless PowerShare สำหรับแชร์แบตเตอรี่ของสมาร์ทโฟนให้กับอุปกรณ์อื่นๆ ได้แบบไร้สาย ช่วยให้ผู้ใช้สามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้กับผลิตภัณฑ์ภายใน Ecosystem ของ Samsung ได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น นาฬิกา Galaxy Watch หรือหูฟัง Galaxy Buds เป็นต้น
เปรียบเทียบกล้องถ่ายภาพระหว่าง iPhone 12 vs Samsung Galaxy S20 FE 5G
ด้านการถ่ายภาพ iPhone 12 มาพร้อมกับกล้องหลังจำนวน 2 ตัว แบ่งออกเป็น กล้อง UltraWide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4 และกล้อง Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.6 พร้อมระบบกันสั่นแบบ OIS (เฉพาะกล้อง Wide) และรองรับการซูมภาพแบบ Optical Zoom 2 เท่า รวมทั้งยังรองรับการูซมภาพแบ Digital Zoom สูงสุดที่ 5 เท่า นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่างการรองรับการถ่ายภาพด้วย Night Mode จากกล้องทั้งสองตัว รวมไปถึง Deep Fusion ที่ประมวลผลภาพถ่ายหลายๆ เฟรมเป็นภาพเดียว เพื่อช่วยเก็บรายละเอียดต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น, Smart HDR 3 ที่ช่วยให้การถ่ายภาพย้อนแสงมีดีเทลที่ดีขึ้นตามไปด้วย รวมถึงการถ่ายวิดีโอ HDR แบบ Dolby Vision ที่ช่วยเก็บรายละเอียดต่างๆ ของวิดีโอได้เทียบชั้นกับการถ่ายภาพนิ่ง
ขณะที่ Samsung Galaxy S20 FE 5G มาพร้อมกับกล้องหลังจำนวน 3 ตัว แบ่งออกเป็น กล้อง Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.2, กล้อง Wide-Angle ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.8 พร้อมระบบโฟกัสภาพอัตโนมัติ Dual Pixel + ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS และกล้อง Telephoto ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.4 พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS และระบบซูมภาพแบบ 30x Space Zoom ส่วนฟีเจอร์การถ่ายภาพอื่นๆ ก็ให้มาแบบครบครัน ไม่ว่าจะเป็น Bright Night สำหรับถ่ายภาพกลางคืนได้อย่างคมชัด หรือ Single Take สำหรับถ่ายวิดีโอครั้งเดียว แต่ได้ภาพนิ่งในช็อตต่างๆ ทำให้ไม่พลาดทุกโมเมนต์สำคัญ
หากพิจารณาจากสเปกกล้องของทั้งสองรุ่นแล้ว จะเห็นได้ว่า Galaxy S20 FE 5G จะได้เปรียบกว่าเล็กน้อยตรงที่มามีกล้องเลนส์ซูม Telephoto โดยเฉพาะ ทำให้สามารถซูมภาพได้ไกล และคมชัดเมื่อเทียบกับ iPhone 12 ที่ทำการซูมภาพด้วยกล้องตัวหลัก แต่ iPhone 12 ก็จะมีความโดดเด่นในด้านการถ่ายวิดีโอ HDR แบบ Dolby Vision ที่เหมาะแก่การนำไปปรับแต่ง หรือเกรดสี ในโปรแกรมอื่นๆ เพิ่มเติม
ส่วนกล้องหน้าเซลฟี่ของทั้งสองรุ่นก็มีความแตกต่างเช่นเดียวกัน โดย iPhone 12 มาพร้อมกับชุดกล้องหน้า TrueDepth ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.2 ที่มีเซ็นเซอร์สำหรับวัดระยะชัดตื้น ช่วยให้การถ่ายภาพเซลฟี่แบบหน้าชัดหลังเบลอมีความเนียนตามากยิ่งขึ้น ขณะที่ Samsung Galaxy S20 FE 5G มาพร้อมกับกล้องหน้าความละเอียดสูงกว่าที่ 32 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/2.2 พร้อมรองรับการถ่ายภาพเซลฟี่หน้าชัดหลังเบลอเช่นเดียวกัน แต่จะใช้ซอฟท์แวร์ รวมถึง AI ในการช่วยแยกฉากหลังออกจากตัวแบบ เพื่อละลายฉากหลังได้อย่างเป็นธรรมชาตินั่นเอง
เปรียบเทียบระบบปฏิบัติการ และระยะเวลาการอัปเดต
iPhone 12 มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ IOS 13 เวอร์ชันใหม่ล่าสุด ซึ่งโดยปกติแล้วทาง Apple มักจะปล่อยอัปเดตให้กับอุปกรณ์ของตนเองเป็นระยะเวลาประมาณ 5 ปี ซึ่งสังเกตได้จากรุ่น iPhone 6 ที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2014 และได้รับอัปเดตมาจนถึง iOS 12.4.2 ในปี 2019 ที่ผ่านมา
ส่วน Samsung Galaxy S20 FE 5G มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 10 ครอบทับด้วย One UI 2 เวอร์ชันใหม่แกะกล่องเช่นเดียวกัน ซึ่งทาง Samsung ได้ออกมายืนยันเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า สมาร์ทโฟน Samsung ตระกูลเรือธงรุ่นใหม่จะได้รับอัปเดตซอฟท์แวร์เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3 เวอร์ชัน ซึ่งมหายความว่า Galaxy S20 FE 5G จะได้รับอัปเดตไปจนถึง Android 12 หรือช่วงที่ Galaxy S50 FE เปิดตัวออกมาพอดิบพอดี ซึ่งถึงตอนนั้น ก็น่าจะถึงเวลาที่หลายคนเริ่มเปลี่ยนเครื่องใหม่กันแล้ว
เปรียบเทียบฟีเจอร์อื่นๆ
อีกหนึ่งจุดที่ทั้งสองรุ่นมีเหมือนกันก็คือ ระบบ Ecosystem ของแบรนด์ตัวเอง ที่สามารถเชื่อมต่อ และใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย โดยอย่าง Apple เองก็จะมี Ecosystem เด่นๆ อย่างเช่น iPhone, iPad, AirPods, Apple Watch, HomePod หรือ MacBook เป็นต้น ขณะที่ Ecosystem เด่นๆ ของ Samsung ก็ได้แก่ สมาร์ทโฟน Galaxy, แท็ปเล็ต Galaxy Tab หรือหูฟัง Galaxy Buds เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า Ecosystem ของทั้งสองแบรนด์ ต่างก็มีผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้งานในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
ส่วนด้านฟีเจอร์แชร์ไฟล์ระหว่างสมาร์ทโฟนที่แต่ก่อน iPhone จะขึ้นชื่อในเรื่องของฟีเจอร์ AirDrop ที่สามารถโอนไฟล์หาไอโฟนด้วยกันเองได้อย่างง่ายดาย ในปัจจุบันระบบ Android ก็มีฟีเจอร์ดังกล่าวให้ใช้งานแล้วเช่นเดียวกัน นั่นก็คือ Nearby Share ที่นอกเหนือจากจะแชร์ไฟล์ระหว่างมือถือ Galaxy ได้อย่างง่ายดายแล้ว ยังสามารถแชร์ไฟล์ไปยังมือถือแบรนด์อื่นๆ ที่มี Nearby Share ได้ด้วย
ด้านบริการหลังการขายโดยเฉพาะการรับประกัน ทั้งสองรุ่นสามารถซื้อแพ็กเกจการรับประกันตัวเครื่องเพิ่มเติมได้ด้วย โดย iPhone 12 ก็จะมี Apple Care+ ที่ขยายความคุ้มครองเป็น 2 ปี โดยสามารถนำเครื่องไปรับบริการแบบครบวงจรได้ที่ Apple Store รวมถึงผู้ให้บริการายอื่นๆ ที่ได้รับอนุญาตของ Apple ส่วน Samsung ก็มีแพ็กเกจการรับประกัน Samsung Care+ ที่ให้แผนคุ้มครองเป็นระยะเวลานานสูงสุด 2 ปีเช่นกัน พร้อมบริการช่างเทคนิคที่ส่งตรงถึงหน้าบ้าน รวมทั้งยังครอบคลุมความเสียหายของตัวเครื่องที่เกิดจากอุบัติเหตุ หรือของเหลว เป็นระยะเวลา 1 ปีอีกด้วย
ะเห็นได้ว่าทั้งสองรุ่นต่างก็มีจุดเด่น และจุดที่แตกต่างกันออกไปเพื่อตอบโจทย์การใช้ของผู้ใช้งานแต่ละกลุ่ม ซึ่งมือถือรุ่นใดจะดีกว่ากันนั้น ทางทีมงานคงไม่ตัดสินได้ เพราะส่วนหนึ่งคงต้องขึ้นอยู่กับความชื่นชอบส่วนบุคคลด้วย หากทดลองใช้งานเบื้องต้นแล้วถูกใจ ก็ถือว่ามือถือเครื่องนั้นน่าจับจองเป็นเจ้าของแล้วครับ
นำเสนอบทความโดย : thaimobilecenter.com
วันที่ : 15/10/2563
