หน้าแรกมือถือ > รวมข่าวมือถือ > หน้าบทความ ข่าวมือถือ
   
Date : 12/9/2562

เราควรเปลี่ยนเป็น iPhone 11 ไหม หากยังใช้ไอโฟนรุ่นเก่าอยู่?

 

อีกไม่กี่วัน iPhone 11, iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max ก็จะเริ่มเปิดให้สั่งซื้อในบางกลุ่มประเทศแล้ว ซึ่งในตอนนี้หลายท่านที่กำลังใช้ไอโฟนรุ่นปีที่แล้วอยู่ไม่ว่าจะเป็น iPhone XR, iPhone XS หรือ iPhone XS Max หรือไอโฟนรุ่นเก่ากว่า อาจกำลังเกิดความสงสัย และลังเลว่า ควรอัปเกรด หรือเปลี่ยนไปใช้ iPhone 11, iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max ดีหรือไม่? วันนี้ทีมงานจึงสรุปบทวิเคราะห์มาให้ทุกท่านเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจครับ
 

ใช้ iPhone XR อยู่ เปลี่ยนเป็น iPhone 11 ดีหรือไม่?

iPhone 11 เป็นไอโฟนที่เข้ามาแทนที่ iPhone XR โดยเฉพาะ รวมทั้งยังเป็นไอโฟนรุ่นเริ่มต้นที่ค่อนข้างน่าสนใจปีนี้ เพราะทาง Apple ตั้งราคาขายในไทยเริ่มต้นเอาไว้ที่ 24,900 บาท ถูกกว่าราคาเปิดตัวของ iPhone XR ที่เปิดราคาขายเริ่ม 29,900 บาท ทำให้คนที่ถือ iPhone XR อาจเกิดความสนใจในการอัปเกรดเป็น iPhone 11 เรามาดูกันดีกว่าว่า ของใหม่ที่เราจะได้รับจากการอัปเกรดเป็นรุ่นนี้ มีอะไรบ้างครับ

 

หากอัปเกรดจาก iPhone XR เป็น iPhone 11 จะมีความเปลี่ยนแปลง ดังนี้

 

  • CPU และ GPU แรงขึ้นด้วยชิปตัวใหม่ Apple A13 Bionic (Apple เคลมว่าเป็นชิปเซ็ตที่เร็วที่สุดในวงการสมาร์ทโฟน ณ ชั่วโมงนี้)
  • แบตเตอรี่อึดขึ้นกว่าเดิม 1 ชั่วโมง
  • ได้กล้องหลังเพิ่มอีกหนึ่งตัวคือ กล้องเลนส์ Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล สามารถถ่ายภาพได้กว้าง 120 องศา
  • เอฟเฟ็กต์การจัดแสงในโหมด Portrait รูปแบบใหม่ในชื่อ แสงไฟขาวดำไฮคีย์
  • โหมดถ่ายภาพกลางคืน Night Mode
  • ลำโพงเสียงรอบทิศทาง พร้อมระบบเสียง Dolby Atmos
  • ได้ชิป U1 ช่วยให้ส่งไฟล์ และข้อมูลหาไอโฟน หรืออุปกรณ์ต่างๆ ที่มีชิป U1 เหมือนกันง่ายขึ้น และเร็วขึ้นกว่าเดิม (iPhone ที่มีชิป U1 คือรุ่น iPhone 11, iPhone 11 Pro และ iPhone 11)
  • ราคาเปิดตัวถูกลงกว่าเดิมราว 5,000 บาท
  • ได้รับการซัพพอร์ตด้านซอฟท์แวร์ และระบบปฏิบัติการ iOS นานกว่า
  • ตัวเลือกสีแบบใหม่ คือ สีเขียวมินท์ และสีม่วง
  • ถ่ายหน้าชัดหลังเบลอสัตว์เลี้ยงได้
  • กล้องหน้าความละเอียดมากขึ้นเป็น 12 ล้านพิกเซล
  • เซลฟี่วิดีโอความละเอียด 4K แบบ 60fps พร้อมถ่ายวิดีโอสโลโมชัน (Slofie) ได้ที่ระดับ 120fps 
  • กันน้ำได้ลึกกว่า iPhone XR สองเท่า (iPhone 11 กันน้ำได้ลึก 2 เมตร นานสูงสุด 30 นาที ขณะที่ iPhone XR กันน้ำได้ลึก 1 เมตร นานสุด 30 นาที) (*Apple ไม่รับประกันความเสียหายที่เกิดจากของเหลว)
  • ถ่ายวิดีโอด้วยเลนส์ Ultra Wide ได้
  • มีความจุให้เลือกมากกว่าที่ 64GB / 128GB / 256GB (ปัจจุบัน iPhone XR มีให้เลือก 2 ความจุคือ 64GB และ 128GB เมื่อซื้อผ่าน Apple Online Store)

 

สิ่งที่ iPhone XR และ iPhone 11 มีเหมือนกัน

 

  • ตัวเครื่อง และน้ำหนักเท่ากันที่ 150.9x75.7x8.3 มม. น้ำหนักรวม 194 กรัม
  • จอรอยบาก Liquid Retina ขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 1792x828 พิกเซล
  • ความสว่างจอสูงสุดเท่ากันที่ 625 Nits
  • ฟังก์ชัน True Tone สำหรับปรับสี และแสงให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม
  • สแกนหน้า FaceID
  • Haptic Touch กดค้างเพื่อสั่งการ
  • ชาร์จเร็วสูงสุดเท่ากันที่ 18W (ต้องซื้ออแดปเตอร์แยกต่างหาก)
  • พอร์ตเชื่อมต่อแบบ Lighting 
  • ชาร์จไร้สาย
  • ไม่มีช่องหูฟัง
  • ไม่แถมตัวแปลงอแดปเตอร์ Lightning เป็น 3.5 มม. มาให้ในกล่อง (แต่แถมหูฟังพอร์ต Lightning มาให้)

 

สรุป ควรอัปเกรดเป็น iPhone 11 ดีหรือไม่?

สำหรับคนที่ใช้ iPhone XR อยู่แล้ว หากไม่ได้ต้องการกล้อง Ultra Wide หรือชิปเซ็ตที่แรงขึ้นเพื่อการเล่นเกมกราฟิกแรงๆ หรือใช้สำหรับทำงาน และตัดต่อวิดีโอบนไอโฟน ก็อาจดูไม่จำเป็นต้องอัปเกรดใหม่ เนื่องจากคุณสมบัติโดยรวม รวมถึงดีไซน์ตัวเครื่องระหว่าง iPhone XR และ iPhone 11 ยังไม่แตกต่างกันมากนัก ซึ่งสิ่งที่ iPhone 11 อัปเกรดจาก iPhone XR มีเพียงแค่เรื่อง ชิปเซ็ต, กล้องถ่ายภาพ, คุณสมบัติกันน้ำ และแบตเตอรี่เท่านั้น 

 

โดยในส่วนของประสิทธิภาพการทำงานของชิป Apple A12 Bionic หากอ้างอิงจากสไลด์งานเปิดตัวของ Apple ก็ถือว่ายังเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปในปัจจุบัน เพราะยังคงแรงกว่าชิปตัวท็อปของค่ายคู่แข่งอย่าง Snapdragon 855 หรือ Kirin 980 ทั้งในด้าน CPU และ GPU

ส่วนใครที่ใช้ iPhone รุ่นก่อนหน้าปี 2017 ตั้งแต่ iPhone 7 ลงไป รวมถึงผู้ที่กำลังตัดสินใจซื้อไอโฟนเป็นเครื่องแรก iPhone 11 ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะฟีเจอร์โดยรวมค่อนข้างใกล้เคียงกับ iPhone 11 Pro และ 11 Pro Max ในราคาวางจำหน่ายที่ถูกกว่าราว 11,000 บาท


 

ใช้ iPhone XS และ iPhone XS Max อยู่ เปลี่ยนเป็น iPhone 11 Pro หรือ iPhone 11 Pro Max ดีหรือไม่?

iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max เป็นไอโฟนที่ได้รับการพัฒนามาจาก iPhone XS และ iPhone XS Max โดยตรง ซึ่งถือว่าเป็นตัวท็อปด้วยกันทั้งคู่ แต่ในครั้งนี้ Apple เปิดราคาขายในบ้านเราถูกลงกว่าเดิมเริ่มต้นที่ 35,900 บาท สำหรับ iPhone 11 Pro (iPhone XS เปิดราคาขายบ้านเราเริ่มต้นที่ 39,900 บาท) ขณะที่ iPhone 11 Pro Max เปิดราคาขายเริ่มต้น 39,900 บาท (iPhone XS Max เปิดราคาขายบ้านเราเริ่มต้นที่ 43,900 บาท) ซึ่งจะเห็นได้ว่าไอโฟนตัวท็อปในปีนี้ถูกลงกว่าเดิมราว 4,000 บาท มาดูกันดีกว่าว่าการเปลี่ยนแปลงจาก iPhone XS / iPhone XS Max เป็น iPhone 11 Pro / iPhone 11 Pro Max จะมีอะไรใหม่บ้าง


 

หากอัปเกรดจาก iPhone XS / iPhone XS Max เป็น iPhone 11 Pro / iPhone 11 Pro Max จะมีความเปลี่ยนแปลง ดังนี้

 

  • ตัวเครื่อง และน้ำหนักมากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ 144.0x71.4x8.1 มม. พร้อมน้ำหนักรวม 188 กรัมสำหรับ iPhone 11 Pro (iPhone XS มีสัดส่วน 143.6x70.9x7.7 มม. พร้อมน้ำหนักรวม 177 กรัม) ขณะที่ iPhone 11 Pro Max มาพร้อมกับสัดส่วน 158.0x77.8x8.1 มม. พร้อมน้ำหนักรวม 226 กรัม (iPhone XS Max มีสัดส่วน 157.5x77.4x7.7 มม. พร้อมน้ำหนักรวม 208 กรัม)
  • จอแบบใหม่ Super Retina XDR ชัด และสว่างที่สุดเท่าที่เคยมีมาบนไอโฟน
  • CPU และ GPU แรงขึ้นด้วยชิปตัวใหม่ Apple A13 
  • แบตเตอรี่อึดขึ้นกว่าเดิม 4 ชั่วโมง สำหรับ iPhone 11 Pro (เทียบกับ iPhone XS) และ 5 ชั่วโมงสำหรับ iPhone 11 Pro Max (เทียบกับ iPhone XS Max)
  • บอดี้ด้านหลังเป็นกระจกผิวสัมผัสแบบด้าน
  • ได้กล้องหลังเพิ่มอีกหนึ่งตัวคือ กล้องเลนส์ Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล สามารถถ่ายภาพได้กว้าง 120 องศา
  • เอฟเฟ็กต์การจัดแสงในโหมด Portrait รูปแบบใหม่ในชื่อ แสงไฟขาวดำไฮคีย์
  • โหมดถ่ายภาพกลางคืน Night Mode
  • ลำโพงเสียงรอบทิศทาง พร้อมระบบเสียง Dolby Atmos
  • ได้ชิป U1 ช่วยให้ส่งไฟล์ และข้อมูลหาไอโฟน หรืออุปกรณ์ต่างๆ ที่มีชิป U1 เหมือนกันง่ายขึ้น และเร็วขึ้นกว่าเดิม (iPhone ที่มีชิป U1 คือรุ่น iPhone 11, iPhone 11 Pro และ iPhone 11)
  • ราคาเปิดตัวถูกลงกว่าเดิม 4,000 บาท
  • ได้รับการซัพพอร์ตด้านซอฟท์แวร์ และระบบปฏิบัติการ iOS นานกว่า
  • ตัวเลือกสีแบบใหม่ คือ สีเขียว
  • ถ่ายหน้าชัดหลังเบลอสัตว์เลี้ยงได้
  • กล้องหน้าความละเอียดมากขึ้นเป็น 12 ล้านพิกเซล
  • เซลฟี่วิดีโอความละเอียด 4K แบบ 60fps พร้อมถ่ายวิดีโอสโลโมชัน (Slofie) ได้ที่ระดับ 120fps 
  • กันน้ำได้ลึกกว่า iPhone XS และ iPhone XS Max ที่ระดับ 4 เมตร เป็นเวลานานสุด 30 นาที (*Apple ไม่รับประกันความเสียหายที่เกิดจากของเหลว)
  • ถ่ายวิดีโอด้วยเลนส์ Ultra Wide ได้
  • ไม่มี 3D Touch ให้ใช้งานแล้ว มีเพียงแค่ Haptic Touch เท่านั้น
  • รองรับ Wi-Fi 6
  • มีอแดปเตอร์ชาร์จเร็ว 18W แถมมาให้ในกล่อง
  • ซื้อผ่าน Apple Online Store ได้ (Apple เลิกวางจำหน่าย iPhone XS และ iPhone XS Max ผ่านช่องทาง Online Store แล้ว

 

สิ่งที่ iPhone XS / iPhone XS Max และ iPhone 11 Pro / iPhone 11 Pro Max มีเหมือนกัน

 

  • จอดีไซน์รอยบากที่มีขนาด และความละเอียดเท่ากับรุ่นเดิมที่ 5.8 นิ้ว สำหรับ iPhone 11 Pro ความละเอียด 2436x1125 พิกเซล และ 6.5 นิ้ว สำหรับ iPhone 11 Pro Max ความละเอียด 2688x1242 พิกเซล
  • ฟังก์ชัน True Tone สำหรับปรับสี และแสงให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม
  • สแกนหน้า FaceID
  • ชาร์จเร็วสูงสุดเท่ากันที่ 18W ต่างกันตรงที่ iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max แถมอแดปเตอร์ชาร์จเร็วมาให้ภายในกล่อง
  • พอร์ตเชื่อมต่อแบบ Lightning
  • ชาร์จไร้สาย
  • ไม่มีช่องหูฟัง 3.5
  • ไม่แถมตัวแปลงอแดปเตอร์ Lightning เป็น 3.5 มม. มาให้ในกล่อง (แต่แถมหูฟังพอร์ต Lightning มาให้)

 

สรุป ควรอัปเกรดเป็น iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max ดีหรือไม่?

สำหรับคนที่ใช้ iPhone XS หรือ iPhone XS Max อยู่แล้ว หากต้องการชิปแรงขึ้น เพื่อการเล่นเกมกราฟิกหนักๆ หรือการตัดต่อวิดีโอจบครบในเครื่องเดียว, กล้องที่ถ่ายได้กว้างขึ้น เพื่อสร้างสรรค์ภาพถ่ายมุมมองใหม่ๆ หรือต้องการหน้าจอที่ชัดขึ้น และแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานกว่าเดิม รวมทั้งมีงบประมาณในการเปลี่ยนเครื่องใหม่อยู่แล้ว ก็อาจดูเหมาะสมที่จะอัปเกรดเป็น iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max แต่หากพิจารณาแล้วว่าฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามา ยังไม่ตอบโจทย์การใช้งาน iPhone XS และ iPhone XS Max ก็ยังถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานในอีกระยะหนึ่ง

สำหรับใครที่ใช้ iPhone ตั้งแต่ iPhone 7 ลงไป หรือผู้ที่สนใจใช้ไอโฟนในระยะยาว การอัปเกรดมาเป็น iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max ก็อาจเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะสถาปัตยกรรมการผลิตชิปเซ็ตของ A13 Bionic อยู่ในระดับ 7nm+ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาเพียงพอสมควรกว่าจะเปลี่ยนเป็นสถาปัตยกรรมที่เล็กลง รวมทั้งยังได้กล้องหลัง 3 ตัวที่มีเลนส์การถ่ายภาพครอบคลุมในทุกระยะ ทั้งเลนส์ Wide, เลนส์มุมกว้างพิเศษ Ultra Wide รวมไปถึงเลนส์ซูม Telephoto นอกจากนี้ ยังได้ฟีเจอร์อื่นๆ ที่เพิ่มเข้ามา ไม่ว่าจะเป็น การชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สาย, เซลฟี่แบบหน้าชัดหลังเบลอ รวมถึงระบบปลดล็อกด้วยใบหน้าแบบ 3 มิติ 

อย่างไรก็ดี ทีมงานไม่สามารถแนะนำได้ว่าผู้ใช้ควร หรือจำเป็นที่จะอัปเกรดมาเป็นไอโฟนรุ่นใหม่ เนื่องจากแต่ละคนมีความต้องการการใช้งานสมาร์ทโฟนที่แตกต่างกัน รวมถึงงบประมาณสำหรับเลือกซื้อสมาร์ทโฟนสักเครื่องที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็คงขึ้นอยู่กับการพิจารณาของผู้ใช้งานแต่ละท่านครับ สำหรับวันนี้ทีมงานต้องขอตัวลาไปก่อน แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้า สวัสดีครับ

 

นำเสนอบทความโดย : thaimobilecenter.com


วันที่ : 12/9/2562

Tags :
  

Cookie Consent

Our website uses cookies to provide your browsing experience and relavent informations.Before continuing to use our website, you agree & accept of our Cookie Policy & Privacy