ทดสอบ 5 โหมดถ่ายภาพเด่นของ Huawei P20 และ P20 Pro สมาร์ทโฟนเรือธงกล้อง Leica รุ่นใหม่ที่ได้รับคะแนนจาก DxOMark สูงที่สุด ณ ตอนนี้ จะเป็นอย่างไร มาดูกัน!
Huawei P20 และ P20 Pro มือถือระดับเรือธงรุ่นล่าสุดจากค่าย Huawei ถือว่าเป็นหนึ่งในมือถือที่น่าจับตามองในปี 2018 เนื่องจามีการอัปเกรดจากรุ่น P10 Series หลายจุด ไม่ว่าจะเป็น ดีไซน์หน้าจอไร้ขอบใหม่หมดจด, ชิปเซ็ตตัวใหม่ที่สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น รวมไปถึงฟีเจอร์ชูโรงอย่าง “กล้องถ่ายภาพ” ที่ร่วมพัฒนากับ Leica ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในแบรนด์กล้องถ่ายภาพที่มีชื่อเสียงชั้นนำระดับโลก อีกทั้ง กล้องถ่ายภาพของ Huawei P20 และ P20 Pro ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็นมือถือที่ได้รับคะแนนทดสอบด้านการถ่ายภาพสูงที่สุดจากเว็บไซต์ DxOMark ด้วยผลคะแนน 102 และ 109 ตามลำดับ
สำหรับกล้องถ่ายภาพของ Huawei P20 และ P20 Pro มาพร้อมกับโหมดถ่ายภาพที่น่าสนใจด้วยกันถึง 5 โหมด ประกอบไปด้วย Master AI, Portrait Mode, Night Mode, 5x Hybrid Zoom (เฉพาะ Huawei P20 Pro) และ Super Slow Motion ทำให้สามารถตอบโจทย์การถ่ายภาพในสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างครบเครื่อง แต่การใช้งานจริงจะเป็นอย่างไร โหมดการถ่ายภาพทั้ง 5 โหมดสามารถทำผลงานได้ดีมากน้อยเพียงไหน เราไปดูกันเลยดีกว่าครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Master AI
เริ่มต้นด้วยโหมด Master AI ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในไฮไลท์เด่นของทั้งสองรุ่นดังก่อน โดยฟีเจอร์ดังกล่าวเป็นการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์สภาพแวดล้อม และวัตถุที่อยู่ด้านหน้า ได้ถึง 19 ซีน ครอบคลุมตั้งแต่การถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ทั่วๆ ไป ไปจนถึงการถ่ายภาพบุคคล สัตว์ หรือ อาหาร โดยเมื่อ AI สามารถวิเคราะห์ซีนด้านหน้าได้แล้ว ก็จะนำไปปรับแต่งการตั้งค่าต่างๆ ของกล้องถ่ายภาพให้แบบอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็น ค่าความไวแสง (ISO) , ค่าความเร็วชัตเตอร์ (Speed Shutter) รวมไปถึงการวัด White Balance นับว่าเหมาะกับผู้ใช้งานทั่วไปที่อาจไม่มีพื้นฐานด้านการถ่ายภาพมากนัก แต่ยังสามารถเก็บภาพถ่ายที่มีแสง สี อยู่ในระดับที่สวยงามพอเหมาะโดยไม่จำเป็นต้องปรับแต่งค่าต่างๆ ให้ยุ่งยาก
เปิด Master AI
ปิด Master AI
โดยหากสังเกตจากภาพถ่ายต้นไม้ด้านต้นที่เน้นสีเขียวเป็นหลัก จะเห็นได้ว่า ภาพที่เปิดใช้งานฟังก์ชัน Master AI จะมีการเพิ่มความอิ่มตัวของสีเขียว ซึ่งเป็นสีโทนหลักของต้นไม้ ทำให้ภาพรู้สึกมีชีวิตชีวา และมีมิติ ต่างกับภาพด้านล่างที่ปิดการใช้งาน Master AI ซึ่งสีสันของใบไม้ค่อนข้างจะดูจืดอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนการถ่ายภาพในซีนอื่นๆ อย่างเช่น การถ่ายภาพอาหาร Master AI ของ Huawei P20 และ P20 Pro ก็จะมีการเพิ่มสีสันให้มีความสด ทำให้รู้สึกว่าอาหารดูน่ารับประทาน
ส่วนการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ที่มีรายละเอียดของท้องฟ้าอยู่บนภาพ ที่หลายท่านอาจเคยประสบปัญหาด้านการวัดแสงที่ส่งผลให้ภาพส่วนอื่นที่ไม่ใช่ท้องฟ้าเกิดอาการดำมืด แต่หากสังเกตรูปแบบการทำงานของ Master AI จะเห็นได้ว่ามีการย้อมสีท้องฟ้าให้เข้มขึ้น ทำให้ภาพดูสดใส ในขณะที่ยังรักษาความสว่าง และรายละเอียดของภาพส่วนอื่นเอาไว้อยู่
ด้านการถ่ายภาพวัตถุในระยะใกล้ๆ ตัว Master AI ก็จะปรับไปใช้โหมด Marcro เพื่อซูมเข้าใกล้วัตถุยิ่งขึ้นโดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องยื่นมือถือเข้าไปใกล้ๆ ทำให้สามารถถ่ายทอดรายละเอียดต่างๆ ที่อยู่บนวัตถุให้เห็นได้แบบเด่นชัด
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Portrait
ด้าน Portrait Mode ของ Huawei P20 Series เป็นโหมดที่ถูกออกแบบมาสำหรับถ่ายภาพบุคคลโดยเฉพาะ ด้วยความสามารถในการละลายฉากหลัง เพื่อเสริมให้ตัวแบบดูมีความโดดเด่นมากยิ่งขึ้น ซึ่ง Portrait Mode ของ Huawei P20 Series ถือว่าทำได้ในระดับที่น่าพอใจ ด้วยการขัดขอบที่ค่อนข้างเนียนตา และการสร้างเอฟเฟ็กต์โบเก้เป็นดวงกลมให้เห็นแบบเด่นชัด
นอกจากนี้ Portrait Mode ของ Huawei P20 Series ยังมาพร้อมกับลูกเล่นใหม่ที่เรียกว่า 3D Portrait Lighting ซึ่งเป็นฟีเจอร์สำหรับจัดแสงให้แก่ตัวแบบคล้ายกับการจัดแสงไฟสำหรับถ่ายภาพบุคคลในสตูดิโอ โดยเราสามารถจัดแสงได้ทั้งหมด 5 รูปแบบ ได้แก่
- Soft Lighting - จัดแสงแบบอ่อนที่มีความนิ่มนวลเข้าหาใบหน้าตัวแบบจากด้านข้าง
- Split Lighting - จัดแสงแบบแข็งเข้าหาใบหน้าตัวแบบจากด้านข้าง
- Butterfly Lighting - จัดแสงเข้าหาใบหน้าตัวแบบจากมุมสูง โดยจะเน้นแสงไปที่บริเวณหน้าผาก คาง และจมูก ทำให้เกิดเงาเป็นคล้ายกับรูปผีเสื้อบริเวณใต้ปีกจมูก
- Stage Lighting - จัดแสงจากด้านบนในแนวเฉียงเข้าหาใบหน้าตัวแบบ คล้ายกับการจัดไฟบนเวที
- Classic Lighting - จัดแสงเข้าหาใบหน้าตัวแบบโดยตรง พร้อมปรับโทนภาพเป็นสีขาวดำ
อย่างไรก็ดี ในบางสถานการณ์ที่วัตถุในภาพมีความใส การเบลอฉากหลังของ Huawei P20 Series อาจมีการเบลอวัตถุดังกล่าวออกไปบางส่วน ยกตัวอย่างเช่นภาพด้านต้นที่บริเวณกรอบของแว่นตาของตัวแบบถูกเบลอกลืนไปกับฉากหลัง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เนื่องด้วยข้อจำกัดทางด้านฮาร์ดแวร์ของกล้องสมาร์ทโฟน ในเรื่องของขนาดเซ็นเซอร์และเลนส์ที่มีขนาดเล็กกว่ากล้อง DSLR ทำให้การเก็บข้อมูลระยะชัดตื้นของวัตถุกับฉากหลังอาจทำได้ไม่ดีเท่า แต่โดยรวมแล้วการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอของ Huawei P20 Series ถือว่าทำผลงานได้ดีในฐานะของกล้องสมาร์ทโฟนระดับเรือธงครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Night Mode (Long Exposure)
เทียบภาพถ่ายที่แสงน้อย ระหว่าง Huawei P20 Pro (เปิด Night Mode) และ iPhone 6s
สำหรับ Night Mode ของ Huawei P20 Series ถือว่าเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่กล้องที่น่าสนใจ เนื่องจากครั้งนี้ทาง Huawei ได้มีการนำระบบป้องกันภาพสั่นไหวด้วย AI (AI Image Stabilisation : AIS) ทำให้ผู้ใช้ถ่ายภาพกลางคืนได้ด้วยมือเปล่าโดยแทบไม่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง โดยรูปแบบการทำงานของ Night Mode นั้น จะเป็นการลากชัตเตอร์พร้อมกับการถ่ายภาพหลายๆ ใบเพื่อนำมาซ้อนกันเป็นเวลาประมาณ 4 วินาที ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จะช่วยลด Noise และทำให้ภาพมีความสว่างคมชัดแม้ในสถานการณ์ที่แทบไม่มีแหล่งกำเนิดแสง
แต่บางครั้งหากวัตถุมีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วก็อาจส่งผลให้บริเวณนั้นเกิดอาการเบลอ หรือภาพซ้อน ทำให้ Night Mode เหมาะกับการนำไปถ่ายภาพ Object ที่ไม่มีการเคลื่อนไหวมากนัก อย่างเช่น การเก็บภาพสีสันของตึก หรือสถานที่แลนมาร์คต่างๆ ในยามค่ำคืนมากกว่า
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด 5x Hybrid Zoom
ระบบซูมภาพแบบ 5x Hybrid Zoom เป็นฟีเจอร์ที่อยู่บนเฉพาะรุ่น Huawei P20 Pro เพื่อช่วยในการซูมภาพได้ไกลถึง 5 เท่าในขณะที่ยังรักษารายละเอียดของภาพโดยรวมเอาไว้ให้ได้มากที่สุด โดยจากภาพตัวอย่างจะเห็นได้ว่าแม้จะเป็นการถ่ายภาพสัตว์ที่อยู่ในระยะไกล แต่ก็ยังสามารถซูมเข้าไปเก็บภาพได้เหมือนเข้าไปยืนถ่ายอยู่ใกล้ๆ แต่อย่างไรก็ดี การซูมภาพระดับ 5 เท่าอาจทำให้สีจืดลง และปรากฏจุดรบกวน (Noise) ให้เห็นบนภาพเล็กน้อย เนื่องมาจากระบบซูม 5 เท่าของ Huawei P20 Pro เป็นการซูมภาพแบบไม่สูญเสียรายละเอียด (Optical Zoom) 3 เท่า ผสานกับการซูมภาพด้วยซอฟท์แวร์อีก 2 เท่า แต่ภาพที่ได้ก็ถือว่ามีความคมชัดอยู่ในระดับที่น่าพอใจ นอกจากนี้ 5x Hybrid Zoom ยังสามารถซูมได้ไกลกว่า และใช้งานได้สะดวกกว่าสมาร์ทโฟนกล้องคู่ทั่วๆ ไป ที่มักจะซูมภาพได้ที่ระดับ 2x เท่านั้น
ตัวอย่างภาพถ่ายจากโหมด Super Slow Motion
ปิดท้ายด้วยอีกหนึ่งฟีเจอร์ใหม่ที่ถูกเพิ่มเข้ามาใหม่ใน Huawei P20 Series อย่างการถ่ายวิดีโอแบบ Super Slow Motion ที่ระดับ 960fps ซึ่งเป็นการทำให้ภาพบนวิดีโอเคลื่อนไหวช้าลงกว่าธรรมชาติ ส่งผลให้เราสามารถมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวินาทีได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยรูปแบบการทำงานของ Super Slow Motion จะเป็นการบันทึกภาพเหตุการณ์เป็นระยะเวลา 0.25 วินาที จากนั้นจะนำมาขยายให้เห็นแบบช้าๆ เป็นเวลานาน 8 วินาที ซึ่งนับว่าเป็นลูกเล่นที่เหมาะกับการบันทึกภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระยะเวลาอันรวดเร็ว หรือนำไปแชร์ต่อให้แก่เพื่อนๆ ในโซเชียล เพื่อถ่ายทอดมุมมองการถ่ายภาพในรูปแบบใหม่ๆ
เรียกได้ว่าโหมดกล้องถ่ายภาพต่างๆ ที่มีอยู่บน Huawei P20 และ P20 Pro ถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่าย และสามารถตอบโจทย์การถ่ายภาพในชีวิตประจำวันได้อย่างครอบคลุมเลยทีเดียว ซึ่งนอกเหนือจากกล้องถ่ายภาพแล้ว Huawei P20 และ P20 Pro ยังมาพร้อมกับคุณสมบัติของตัวเครื่องแบบจัดเต็มสมกับฐานะมือถือระดับเรือธง ไม่ว่าจะเป็น ชิปเซ็ตประมวลผลตัวใหม่ล่าสุด HiSilicon Kirin 970 ที่ผสานการทำงานร่วมกับหน่วยความจำ RAM สูงสุดที่ขนาด 6GB หรือการทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการเวอร์ชันใหม่อย่าง Android 8.1 พร้อม EMUI 8.0 ที่มีลูกเล่นในการใช้งานมากมาย โดย Huawei P20 วางจำหน่ายที่ราคา 19,990 บาท ส่วน Huawei P20 Pro วางจำหน่ายที่ราคา 27,990 บาท ซึ่งหากท่านใดที่สนใจก็สามารถเข้าไปทดลองใช้งานเบื้องต้นได้ที่หัวเว่ยแบรนด์ช็อป และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศครับ
นำเสนอบทความโดย : thaimobilecenter.com
วันที่ : 23/4/2561
