ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะเปลี่ยนสมาร์ทโฟนไปอย่างไรในปี 2018 นี้?
ปี 2017 ที่ผ่านมา วงการสมาร์ทโฟนเริ่มตื่นตัวกับการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์หรือระบบ AI กันมากขึ้น ทำให้เราได้เห็นความสามารถอันน่าทึ่งหลายอย่างของเทคโนโลยีนี้ตั้งแต่การวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อนเช่นภาพ ไปจนถึงการเรียนรู้ด้วยตัวเองอย่างรวดเร็ว การนำ AI มาฝังเข้ากับระบบของสมาร์ทโฟนจึงเปรียบเสมือนการปลดล็อคความสามารถของสมาร์ทโฟนไปอีกขั้น แต่ที่ผ่านมายังเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น ศักยภาพของ AI ยังพัฒนาต่อไปได้อีกไกล และสำหรับโอกาสนี้เราจะมาดูกันว่าการเติบโตของเทคโนโลยี AI ในปี 2018 นั้น มีแนวโน้มจะเปลี่ยนสมาร์ทโฟนให้ฉลาดขึ้นในด้านใดและอย่างไรบ้างครับ
1. ยกระดับการถ่ายภาพด้วย AI วิเคราะห์วัตถุ
คุณสมบัติด้านการถ่ายภาพเป็นสิ่งที่สมาร์ทโฟนยุคใหม่ขาดไม่ได้ แม้ในยุคนี้กล้องสมาร์ทโฟนจะพัฒนาไปไกลจนถ่ายภาพได้สวยเกือบเท่ากล้องโปรแล้ว แต่จะไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้แน่นอน เพราะระบบ AI จะเข้ามาช่วยทำให้การถ่ายภาพง่ายและสวยงามยิ่งขึ้นไปอีกด้วยการวิเคราะห์วัตถุและองค์ประกอบภาพ พร้อมกับปรับการตั้งค่าต่างๆ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่สุดโดยอัตโนมัติ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดในตอนนี้คือ AI วิเคราะห์วัตถุของ Huawei Mate 10 Pro และระบบ AI Beauty บนกล้องหน้าของ OPPO F5 สำหรับปี 2018 แน่นอนว่า AI เหล่านี้จะได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้น และแพร่หลายมากขึ้น จนอาจกลายเป็นฟีเจอร์สามัญประจำเครื่องของสมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ไปในที่สุด
2. ระบบแปลภาษาที่ยืดหยุ่นและแม่นยำยิ่งขึ้น
ฟังก์ชันแปลภาษาเป็นฟังก์ชันที่มีประโยชน์แต่หลายคนกลับเลือกที่จะไม่ใช้ เพราะแอปพลิเคชันภาษาที่มีอยู่ในปัจจุบันมีความสามารถค่อนข้างจำกัด เช่นจำเป็นต้องต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อแปล แปลเสียงพูดไม่ได้ ต้องแปลทีละคำ หรืออาจไม่แม่นยำเท่าที่ควร แต่ปัจจุบันสมาร์ทโฟนแบรนด์ต่างๆ เริ่มฝังฟังก์ชันแปลภาษามาให้กับผู้ช่วยอัจฉริยะในตัวเครื่องและใช้ AI มาประมวลผลในการแปล เช่นใน Bixby Vision ของ Samsung หรือโหมดแปลภาษาผ่านกล้องแบบ Real-Time ของ Huawei Mate 10 Pro ซึ่งบางตัวก็ไม่จำเป็นต้องต่อเน็ตในการใข้งาน และยังเป็นการปลดล็อคความสามารถใหม่ๆ อย่างการแปลบทสนทนาฉับพลัน อีกทั้ง AI ยังสามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ ทำให้ปีนี้กำแพงภาษาจะบางลงอีกอย่างแน่นอน
3. สมาร์ทโฟนที่เข้ากับสไตล์การใช้งานเฉพาะตัวกว่าเดิม
คุณลักษณะของ AI ยุคใหม่คือความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตัวเองจากการใช้งานจริง หมายความว่ายิ่งเราใช้งานมันมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งฉลาดมากขึ้นเท่านั้น เมื่อนำ AI มาช่วยควบคุมการทำงานด้านต่างๆ ของสมาร์ทโฟน จะทำให้ระบบปรับตัวให้เข้ากับลักษณะการใช้งานของผู้ใช้ เช่น เรียนรู้ปริมาณการใช้แบตเตอรีในแต่ละวัน และช่วงเวลาชาร์จแบตประจำ แอปพลิเคชันไหนใช้บ่อย และแอปพลิเคชันไหนไม่ค่อยได้ใช้งาน เป็นต้น ทำให้สมาร์ทโฟนใช้พลังงานแบตเตอรีอย่างคุ้มค่าที่สุด และจัดสรรทรัพยากรเครื่องไปให้แอปพลิเคชันที่ใช้งานจริงๆ มากขึ้น พูดง่ายๆ ก็คือสมาร์ทโฟนจะเร็วขึ้น ประหยัดแบตมากขึ้น และมีประสิทธิภาพโดยรวมมากขึ้นนั่นเอง
4. ระบบสแกนใบหน้า 3 มิติจะแพร่หลายมากขึ้น
ปีที่ผ่านมาเราได้สัมผัสนวัตกรรมใหม่ของวงการสมาร์ทโฟนใน iPhone X นั่นก็คือระบบสแกนใบหน้า 3 มิติด้วยกล้อง TrueDepth ที่ได้กลายเป็นระบบรักษาความปลอดภัยแบบใหม่ที่รัดกุมกว่าเดิม แต่ก็ใช่ว่า Apple จะผูกขาดเทคโนโลยีนี้ไว้ได้ตลอด เพราะผู้ผลิตสมาร์ทโฟนฝั่ง Android ก็สามารถพัฒนาเทคโนโลยีคล้ายๆ กันขึ้นมาได้อย่างไม่ยากเย็น ในปีนี้เราจึงอาจได้เห็นระบบสแกนใบหน้า 3 มิติแพร่หลายมากขึ้น อีกทั้งความก้านหน้าของระบบ AI ก็จะยิ่งทำให้มีความแม่นยำมากขึ้นด้วย
5. การสั่งงานด้วยเสียงที่เข้าใจเรามากขึ้น
เราคุ้นเคยกับผู้ช่วยอัจฉริยะในสมาร์ทโฟนอย่าง Siri กันมานานพอสมควรแล้ว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันยังไม่ฉลาดพอที่จะช่วยงานเราได้อย่างจริงๆ จังๆ แต่ระยะหลังผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายใหญ่ๆ เริ่มหันมาพัฒนาผู้ช่วยอัจฉริยะของตัวเองกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Bixby ของ Samsung หรือ Google Assistant พร้อมกับพัฒนา AI ที่เรียนรู้ได้ด้วยตัวเองฝังลงไปด้วย ทำให้มันกลายเป็นผู้ช่วยที่จะฉลาดขึ้นทุกครั้งที่เราใช้งาน จนถึงขั้นเข้าใจคำสั่งที่ซับซ้อนและทำงานหลายขั้นตอนได้ในการสั่งครั้งเดียว หรือย่างน้อยก็คงไม่พาเราไปหน้าค้นหาบ่อยๆ
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่แนวโน้มที่มีโอกาสจะเกิดขึ้นเท่านั้น เมื่อถึงเวลาเราอาจจะได้เห็นอะไรที่น่าตื่นเต้นกว่านี้ก็เป็นได้ครับ
ที่มา : Gadgetsnow
วันที่ : 2/1/2561


