สวัสดีครับ อีกเพียงไม่กี่สัปดาห์ก็จะเข้าใกล้สู่ช่วงเทศกาลสงกรานต์แล้วนะครับ ซึ่งแน่นอนว่าท่านผู้อ่านจำนวนไม่น้อยก็คงวางแผนเดินทางกลับบ้านเพื่อไปรดน้ำดําหัวบิดามารดา พร้อมพักผ่อนกับญาติๆ กันบ้างแล้ว และแน่นอนว่าการพักผ่อนกับครอบครัวนั้นสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือเสียงเพลง ซึ่งถ้าหากได้ชุดเครื่องเสียง หรือลำโพงไร้สายขนาดพกพาดีๆ สักตัวนึง คงจะช่วยเพิ่มอรรถรสให้กับการพบปะสังสรรค์ในครั้งนี้ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
ซึ่งล่าสุดทางทีมงานไทยโมบายเซ็นเตอร์ก็มีลำโพงบลูทูธรุ่นใหม่ล่าสุดจากแบรนด์ JBL จึงอยากจะมาแนะนำให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน ได้แก่ JBL Clip 2 Special Edition, JBL Flip 3 Special Edition และ JBL Charge 3 Special Edition โดยลำโพงทั้ง 3 รุ่นนี้ ถือเป็นรุ่นพิเศษที่มาพร้อมลวดลายใหม่ กับสีสันที่สดใสมากกว่ารุ่นเดิม และยังคงไว้ซึ่งประสิทธิภาพที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น การฟังเพลง หรือการชมภาพยนตร์แบบต่อเนื่องได้ยาวนานหลายชั่วโมง
นอกจากนี้ สำหรับลำโพง JBL Flip 3 Special Edition และ JBL Charge 3 Special Edition นั้นยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี Dual Passive Radiators ที่ช่วยขับเสียงเบสให้มีความดังคมชัดมากขึ้นได้ และที่พิเศษไปกว่านั้นคือ ตัวลำโพง JBL Clip 2 Special Edition กับ JBL Charge 3 Special Edition นั้นสามารถป้องกันน้ำได้ลึก 1 เมตร เป็นเวลานาน 30 นาที ตามมาตรฐาน IPX7 (ส่วน JBL Flip 3 Special Edition จะมาพร้อมกับเทคโนโลยี Splashproof จึงสามารถป้องกันน้ำสาด หรือน้ำกระเซ็นได้เท่านั้น)
และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปติดตามชมพร้อมกันเลยดีกว่าว่าลำโพงจากแบรนด์ JBL ทั้ง 3 รุ่นนั้น จะมีดีไซน์เป็นอย่างไร, มีฟีเจอร์อะไรที่โดดเด่น และให้คุณภาพเสียงได้น่าประทับใจขนาดไหน
สำรวจคุณสมบัติเด่นของ JBL Clip 2 Special Edition, JBL Flip 3 Special Edition และ JBL Charge 3 Special Edition

ก่อนที่ท่านผู้อ่านจะไปรับชมรีวิวลำโพงบลูทูธสุดล้ำ ทางทีมงานก็ขอพาทุกท่านมาชมคุณสมบัติเด่นของ JBL Clip 2 Special Edition, JBL Flip 3 Special Edition และ JBL Charge 3 Special Edition ก่อน ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
JBL Clip 2 Special Edition
- ขนาดของตัวเครื่อง 94x141x42 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 184 กรัม
- รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth เวอร์ชัน 4.2 หรือผ่านสาย AUX ขนาด 3.5 มิลลิเมตร
- อัตราส่วนสัญญาณต่อเสียงรบกวน (Signal-to-noise ratio) : >80dB
- การตอบสนองความถี่ (Frequency Response) 120Hz – 20kHz (-6dB)
- แบตเตอรี่แบบ Lithium-ion Polymer ขนาด 730 mAh ซึ่งสามารถฟังเพลงได้ต่อเนื่องนาน 8 ชั่วโมง
- ระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอรี่ประมาณ 2.5 ชั่วโมง
- ช่องเชื่อมต่อแบบ microUSB สำหรับชาร์จแบตเตอรี่
- มีไมโครโฟน ซึ่งสามารถสนทนาขณะที่มีสายเรียกเข้าได้ทันที
- ตะขอเกี่ยวแบบอะลูมิเนียม
- ตัวเครื่องมีเทคโนโลยีกันน้ำตามมาตรฐาน IPX7 ซึ่งสามารถกันน้ำได้ลึก 1 เมตร เป็นเวลานาน 30 นาที
- มีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ Squad, Mosaic และ Zap
- ราคา 2,490 บาท
JBL Flip 3 Special Edition
- ขนาดของตัวเครื่อง 169x64x64 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 450 กรัม
- รองรับเทคโนโลยี Dual Passive Radiators ขับเสียงเบสกระหึ่มสุดเร้าใจ
- รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth เวอร์ชัน 4.0
- อัตราส่วนสัญญาณต่อเสียงรบกวน (Signal-to-noise ratio) : >80dB
- การตอบสนองความถี่ (Frequency Response) 85Hz – 20kHz
- แบตเตอรี่แบบ Lithium-ion Polymer ขนาด 3000 mAh ซึ่งสามารถฟังเพลงได้ต่อเนื่องนาน 10 ชั่วโมง
- ระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอรี่ประมาณ 4.5 ชั่วโมง
- ช่องเชื่อมต่อแบบ microUSB สำหรับชาร์จแบตเตอรี่
- มีไมโครโฟน ซึ่งสามารถสนทนาขณะที่มีสายเรียกเข้าได้ทันที
- รองรับฟังก์ชัน JBL Connect สำหรับรับสัญญาณจากลำโพงอีกหนึ่งตัว เพื่อเล่นเพลงพร้อมกันได้
- รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนได้สูงสุด 3 เครื่อง (สามารถเปิดเล่นเพลงได้ทีละเครื่อง)
- ตัวเครื่องมีเทคโนโลยี Splashproof คือ สามารถป้องกันน้ำหยด หรือน้ำสาดกระเซ็นได้
- มีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ Squad, Zap และ Mosaic
- ราคา 4,390 บาท
JBL Charge 3 Special Edition
- ขนาดของตัวเครื่อง 213x87x88.5 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 800 กรัม
- รองรับเทคโนโลยี Dual Passive Radiators ขับเสียงเบสกระหึ่มสุดเร้าใจ
- รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth เวอร์ชัน 4.1
- อัตราส่วนสัญญาณต่อเสียงรบกวน (Signal-to-noise ratio) : >80dB
- การตอบสนองความถี่ (Frequency Response) 65Hz – 20kHz
- แบตเตอรี่แบบ Lithium-ion Polymer ขนาด 6000 mAh ซึ่งสามารถฟังเพลงได้ต่อเนื่องนาน 20 ชั่วโมง
- แบตเตอรี่ทำหน้าที่เป็น Power Bank ได้
- ระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอรี่ประมาณ 4.5 ชั่วโมง
- ช่องเชื่อมต่อแบบ microUSB สำหรับชาร์จแบตเตอรี่
- มีไมโครโฟน ซึ่งสามารถสนทนาขณะที่มีสายเรียกเข้าได้ทันที
- รองรับฟังก์ชัน JBL Connect สำหรับรับสัญญาณจากลำโพงอีกหนึ่งตัว เพื่อเล่นเพลงพร้อมกันได้
- รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนได้สูงสุด 3 เครื่อง (สามารถเปิดเล่นเพลงได้ทีละเครื่อง)
- ตัวเครื่องมีเทคโนโลยีกันน้ำตามมาตรฐาน IPX7 ซึ่งสามารถกันน้ำได้ลึก 1 เมตร เป็นเวลานาน 30 นาที
- มีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ Squad, Mosaic และ Zap
- ราคา 6,590 บาท
การออกแบบดีไซน์ พร้อมทดสอบการใช้งาน

มาเริ่มกันที่น้องเล็กสุดอย่าง JBL Clip 2 Special Edition นั้นมารูปทรงวงกลม ซึ่งมีขนาดของตัวเครื่องอยู่ที่ 169x64x64 มิลลิเมตร กับน้ำหนัก 184 กรัม

โดย JBL Clip 2 Special Edition ที่ทางทีมงานไทยโมบายเซ็นเตอร์ได้มารีวิวนั้นเป็นสี Squad หรือสีลายพลางแบบทหาร

ด้านบนของตัวเครื่องมีตะขอเกี่ยวแบบอะลูมิเนียม

และใกล้ๆ กันนั้นมีสัญญาณไฟ LED สำหรับแจ้งสถานการณ์ทำงานของเครื่อง เช่น สัญญาณไฟขณะชาร์จแบตเตอรี่ หรือสัญญาณไฟขณะเปิดใช้งาน

ด้านล่างของตัวเครื่องมีไมโครโฟน ซึ่งสามารถสนทนาขณะที่มีสายเรียกเข้าได้ทันที


ด้านขวาของตัวเครื่องมีปุ่มการสั่งงาน ซึ่งประกอบไปด้วย ปุ่มเปิด-ปิด เครื่อง, ปุ่มเปิด-ปิด บลูทูธ และเชื่อมต่อแบบ microUSB สำหรับชาร์จแบตเตอรี่

ด้านซ้ายของตัวเครื่องมีปุ่มการสั่งงาน ซึ่งประกอบไปด้วย ปุ่มเพิ่ม-ลด ระดับเสียง และปุ่มรับสาย หรือวางสายโทรศัพท์

ในส่วนด้านใต้ของตัวเครื่องจะมีหัวต่อแบบ AUX ขนาด 3.5 มิลลิเมตร

ซึ่งรอบๆ ตัวเครื่องจะมีร่องสำหรับเก็บสาย AUX ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย และตัวสายก็ไม่หลุดออกมาเกะกะอีกด้วย

ซึ่งจากการทดสอบด้วยการฟังเพลง JBL Clip 2 Special Edition ก็ทำออกมาได้ดีพอตัว แต่ในส่วนของเสียงเบสนั้นยังไม่หนักแน่นมากนัก เนื่องด้วยไม่มีเทคโนโลยี Dual Passive Radiators แยกออกมาเฉพาะตัวนั่นเอง จึงทำให้ขับเสียงเบสได้ไม่ดีมากนัก
JBL Flip 3 Special Edition

มาต่อกันที่ JBL Flip 3 Special Edition กันบ้าง สำหรับ JBL Flip 3 Special Edition นั้นจะมีรูปทรงกระบอก โดยมีขนาดของตัวเครื่องอยู่ที่ 169x64x64 มิลลิเมตร กับน้ำหนัก 450 กรัม ซึ่งสีที่ทางทีมงานได้มารีวิวให้รับชมกันนั้นจะเป็นสี Mosaic

โดย Mosaic นั้นถูกออกแบบมาให้วางใช้งานในแนวนอน จึงทำให้ลำโพงเสียงภายนอกจะอยู่ด้านหน้าของตัวเครื่อง ในส่วนของไมโครโฟนก็อยู่ในตำแหน่งนี้ด้วยเช่นกัน

ด้านหลังจะมีปุ่มการสั่งงาน ซึ่งประกอบไปด้วย ช่องสำหรับคล้องสายพกพา, ปุ่มเปิด-ปิด เครื่อง, ปุ่มเปิด-ปิด ฟังก์ชัน JBL Connect สำหรับรับสัญญาณจากลำโพงอีกหนึ่งตัว เพื่อเล่นเพลงพร้อมกันได้ และสัญญาณไฟ LED สำหรับแจ้งสถานะเครื่อง เช่น สัญญาณไฟขณะกำลังชาร์จแบตเตอรี่

ถัดมาจะมีช่องเชื่อมต่อกับสายแบบ AUX ขนาด 3.5 มิลลิเมตร, ช่องเชื่อมต่อกับสาย microUSB สำหรับชาร์จแบตเตอรี่

นอกจากนี้ ยังมีปุ่มเปิด-ปิด บลูทูธ, ปุ่มเพิ่ม-ลด ระดับเสียง และปุ่มรับสาย หรือวางสายโทรศัพท์ ให้ใช้งานด้วยเช่นกัน

อีกหนึ่งความน่าสนใจบน JBL Flip 3 Special Edition คือ มีเทคโนโลยี Dual Passive Radiators ซึ่งช่วยเพิ่มกำลังในการขับเสียงเบสให้มีความแน่น และคมชัดมากขึ้น

ซึ่งจากการทดสอบด้วยการฟังเพลง JBL Flip 3 Special Edition ก็ทำออกมาได้ดีเป็นอย่างมาก สามารถให้กำลังเสียงได้คมชัด สมจริง อีกทั้งยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี Dual Passive Radiators ซึ่งช่วยเพิ่มกำลังในการขับเสียงเบสให้มีความแน่นมากขึ้น แต่อย่างไรก็ดี ในขณะที่เปิดเพลงที่มีเสียงเบสหนักๆ JBL Flip 3 Special Edition ยังให้กำลังเสียงเบสได้ไม่มากพอ ตัวลำโพงที่ทำงานร่วมกับเทคโนโลยี Dual Passive Radiators นั้นมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก จึงทำให้ JBL Flip 3 Special Edition นั้นเหมาะกับการฟังเพลง Classic หรือ Jazz เสียมากกว่า

นอกจากนี้ ตัวเครื่องของ JBL Flip 3 Special Edition ยังถูกถ่วงน้ำหนักเอาไว้ นั่นหมายความว่าไม่ว่าจะกลิ้ง หรือดัน เจ้า JBL Flip 3 Special Edition ก็จะหมุนกลับมาอยู่ที่ตำแหน่งเดิมเสมอ จึงหมดห่วงเรื่องกลิ้งตกลงพื้นไปได้เลย
JBL Charge 3 Special Edition

สำหรับ JBL Charge 3 Special Edition นั้นมีรูปทรงกระบอกเช่นเดียวกัน แต่มีขนาดใหญ่กว่า JBL Flip 3 Special Edition อยู่พอสมควร โดย JBL Charge 3 Special Edition จะมีขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 213x87x88.5 มิลลิเมตร กับน้ำหนัก 800 กรัม

โดยสีที่ทางทีมงานได้มารีวิวนั้นจะเป็นสี Zap

ด้านบนของตัวเครื่องมีปุ่มการสั่งงาน ซึ่งประกอบไปด้วย ปุ่มเปิด-ปิด บลูทูธ, ปุ่มเพิ่ม-ลด ระดับเสียง, ปุ่มเปิด-ปิด เครื่อง, ปุ่มเปิด-ปิด ฟังก์ชัน JBL Connect สำหรับรับสัญญาณจากลำโพงอีกหนึ่งตัว เพื่อเล่นเพลงพร้อมกันได้ และปุ่มเล่น-หยุด เพลง

ด้านหลังของตัวเครื่องมีช่องเชื่อมต่อกับสายแบบ AUX ขนาด 3.5 มิลลิเมตร, ช่องเชื่อมต่อกับสาย microUSB สำหรับชาร์จแบตเตอรี่ และพอร์ต USB เวอร์ชัน 2.0

ซึ่ง JBL Charge 3 Special Edition จะทำหน้าที่เป็น Power Bank ผ่านพอร์ต USB เวอร์ชัน 2.0 ในการจ่ายไฟสำหรับชาร์จแบตเตอรี่สมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ตได้

ถัดลงมาจะมีฐานสำหรับวาง JBL Charge 3 Special Edition ในแนวราบ พร้อมด้วยสัญญาณไฟ LED สำหรับแจ้งสถานะเครื่อง เช่น สัญญาณไฟขณะกำลังชาร์จแบตเตอรี่

อีกหนึ่งความน่าสนใจบน JBL Charge 3 Special Edition คือ มีเทคโนโลยี Dual Passive Radiators ซึ่งช่วยเพิ่มกำลังในการขับเสียงเบสให้มีความแน่น และคมชัดมากขึ้น อีกทั้งยังมีขนาดใหญ่กว่าของ JBL Flip 3 Special Edition

โดยจากการทดสอบด้วยการฟังเพลงบน JBL Charge 3 Special Edition นั้นเรียกได้ว่า น่าประทับใจเป็นอย่างมาก สามารถให้คุณภาพเสียงที่คมชัด สมจริง และมีรายละเอียดเสียงสูง-ต่ำ ครบถ้วน ซึ่งเหมาะที่จะนำไปเปิดเพลงได้ทุกแนว ไม่เพียงเท่านั้น ทางด้านเทคโนโลยี Dual Passive Radiators ก็ให้กำลังเสียงเบสได้ค่อนข้างแน่น และสามารถตอบโจทย์ด้านการฟังเพลงที่มีเบสหนักๆ ได้ดีกว่า JBL Flip 3 Special Edition อีกด้วย
JBL Clip 2 Special Edition, JBL Flip 3 Special Edition และ JBL Charge 3 Special Edition มาพร้อมเทคโนโลยีกันน้ำ

อย่างที่กล่าวไว้ในข้างต้นว่า JBL Clip 2 Special Edition กับ JBL Charge 3 Special Edition นั้นมาพร้อมกับเทคโนโลยีกันน้ำตามมาตรฐาน IPX7 ซึ่งสามารถกันน้ำได้ลึก 1 เมตร เป็นเวลานาน 30 นาที เลยทีเดียว จึงเหมาะกับนำไปใช้งานได้ในทุกสถานการณ์ เช่น การเปิดเพลงฟังพร้อมๆ กับครอบครัวในการงานเทศกาลสงกรานต์ที่จะถึงนี้ ส่วนทางด้าน JBL Flip 3 Special Edition นั้นมาพร้อมกับเทคโนโลยี Splashproof ซึ่งสามารถป้องกันน้ำสาดกระเซ็นได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่สามารถนำไปจุ่มน้ำ หรือนำตัวเครื่องลงไปใต้น้ำได้
สรุปผลการทดสอบ

นับว่าเป็นลำโพงที่มีความน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว สำหรับ JBL Clip 2 Special Edition, JBL Flip 3 Special Edition และ JBL Charge 3 Special Edition ซึ่งอันดับแรกต้องขอยอมรับในเรื่องของการออกแบบดีไซน์ที่มีความสวยงามลงตัวเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีสีสันที่เป็นเอกลักลักษณ์เฉพาะตัว 3 แบบ 3 สไตล์ เรียกได้ว่า พกพาไปใช้งานตามสถานที่ต่างๆ ต้องสะดุดสายตาคนรอบข้างได้อย่างแน่นอน และที่พิเศษไปกว่านั้นตัวเครื่องของ JBL Clip 2 Special Edition กับ JBL Charge 3 Special Edition ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีกันน้ำตามมาตรฐาน IPX7 ซึ่งสามารถกันน้ำได้ลึก 1 เมตร เป็นเวลานาน 30 นาที แต่จะมีเพียง JBL Flip 3 Special Edition เท่านั้นที่สามารถกันได้เพียงน้ำสาด หรือน้ำกระเซ็น ซึ่งจากการทดสอบด้วยการราดน้ำลงไปบนลำโพงทั้ง 3 ตัว ด้วยการเทน้ำลงไปบนตัวเครื่อง ก็พบว่าลำโพงทั้ง 3 ตัวไม่ได้รับผลกระทบใดๆ และยังสามารถปล่อยพลังเสียงได้อย่างเต็มที่ไม่ต่างจากเดิมเลยแม้แต่น้อย และด้วยความสามารถในจุดนี้ผู้ใช้สามารถนำ JBL Clip 2 Special Edition, JBL Flip 3 Special Edition และ JBL Charge 3 Special Edition ไปใช้เปิดเพลงฟังพร้อมๆ กับครอบครัวในการงานเทศกาลสงกรานต์ได้แบบไม่ต้องกลัวน้ำอีกต่อไป
ทางด้านคุณภาพเสียงทางผู้เขียนขอสรุปที่ละรุ่นดังนี้ เริ่มด้วยน้องเล็กสุดอย่าง JBL Clip 2 Special Edition ซึ่งจากการทดสอบพบว่าสามารถให้คุณภาพโดยรวมถือว่าดี แต่รายละเอียดต่างๆ ยังไม่คมชัดมากนัก ในส่วนของเสียงเบสนั้นยังทำออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร เนื่องด้วยไม่มีเทคโนโลยี Dual Passive Radiators แยกออกมาเฉพาะตัว แต่ในเรื่องของการพกพานั้นสบายหายห่วง ด้วยความที่ตัวเครื่องน้ำหนักเบา แถมยังมาพร้อมกับตะขอเกี่ยวแบบอะลูมิเนียม จึงมั่นใจได้ในเรื่องของความแข็งแรงทนทานได้เป็นอย่างดี
มาต่อกันที่ JBL Flip 3 Special Edition สำหรับคุณภาพเสียงนั้นก็ทำออกมาได้ดีเป็นอย่างมาก สามารถให้กำลังเสียงที่ดี อีกทั้งยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี Dual Passive Radiators ซึ่งช่วยเพิ่มกำลังในการขับเสียงเบสให้มีความแน่นมากขึ้นอีกด้วย ส่วนเสียงสูง กับเสียงต่ำ ยังไม่คมชัดมากนัก ซึ่งโดยรวมแล้วทางด้านคุณภาพเสียงนั้นถือว่ามีคุณภาพกว่า JBL Clip 2 Special Edition อยู่พอสมควรเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ดี ตัวลำโพงที่ทำงานร่วมกับเทคโนโลยี Dual Passive Radiators นั้นมีขนาดเล็ก จึงไม่เหมาะกับการฟังเพลงที่มีเบสหนักๆ แต่จะเหมาะกับการฟังเพลงแนว Classic หรือ Jazz เสียมากกว่า
ในส่วนของ JBL Charge 3 Special Edition นั้นให้คุณภาพเสียงดีกว่าสองรุ่นที่ผ่านมาในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น คุณภาพเสียงที่คมชัด สมจริง แถมมีรายละเอียดเสียงสูง-ต่ำ ครบถ้วน และด้วยลำโพงขนาดใหญ่ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี Dual Passive Radiators จึงให้กำลังเสียงเบสได้แน่นเป็นลูก ซึ่งสามารถตอบโจทย์การฟังเพลงที่มีเบสหนักๆ ได้ดีเป็นอย่างมาก
สำหรับท่านใดที่สนใจก็สามารถหาซื้อ JBL Clip 2 Special Edition (ราคา 2,490 บาท), JBL Flip 3 Special Edition (ราคา 4,390 บาท) และ JBL Charge 3 Special Edition (ราคา 6,590 บาท) ได้ที่ร้านค้าตัวแทนจำหน่าย หรือสามารถสั่งซื้อได้ง่ายๆ ผ่านเว็บไซต์ mahajaklife.com สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง JBL ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งลำโพงทั้ง 3 รุ่น มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีครับ
นำเสนอบทความโดย : thaimobilecenter.com
วันที่ : 24/3/60
|