ตอนนี้คุณอยู่ที่ >> หน้าแรก >> หน้ารวม บทความโทรศัพท์มือถือน่าสนใจ >> รีวิว JBL Clip 2, Flip 3 และ Charge 3 ลำโพงบลูทูธรุ่น Special Edition พร้อมฟังก์ชัน Dual Passive Radiators ที่ให้เสียงเบสกระหึ่มสุดเร้าใจ บนบอดี้กันน้ำลวดลายใหม่ ในราคาเริ่มต้นเพียง 2,490 บาท!


รีวิว JBL Clip 2, Flip 3 และ Charge 3 ลำโพงบลูทูธรุ่น Special Edition พร้อมฟังก์ชัน Dual Passive Radiators ที่ให้เสียงเบสกระหึ่มสุดเร้าใจ บนบอดี้กันน้ำลวดลายใหม่ ในราคาเริ่มต้นเพียง 2,490 บาท!


สวัสดีครับ อีกเพียงไม่กี่สัปดาห์ก็จะเข้าใกล้สู่ช่วงเทศกาลสงกรานต์แล้วนะครับ ซึ่งแน่นอนว่าท่านผู้อ่านจำนวนไม่น้อยก็คงวางแผนเดินทางกลับบ้านเพื่อไปรดน้ำดําหัวบิดามารดา พร้อมพักผ่อนกับญาติๆ กันบ้างแล้ว และแน่นอนว่าการพักผ่อนกับครอบครัวนั้นสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือเสียงเพลง ซึ่งถ้าหากได้ชุดเครื่องเสียง หรือลำโพงไร้สายขนาดพกพาดีๆ สักตัวนึง คงจะช่วยเพิ่มอรรถรสให้กับการพบปะสังสรรค์ในครั้งนี้ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

ซึ่งล่าสุดทางทีมงานไทยโมบายเซ็นเตอร์ก็มีลำโพงบลูทูธรุ่นใหม่ล่าสุดจากแบรนด์ JBL จึงอยากจะมาแนะนำให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน ได้แก่ JBL Clip 2 Special Edition, JBL Flip 3 Special Edition และ JBL Charge 3 Special Edition โดยลำโพงทั้ง 3 รุ่นนี้ ถือเป็นรุ่นพิเศษที่มาพร้อมลวดลายใหม่ กับสีสันที่สดใสมากกว่ารุ่นเดิม และยังคงไว้ซึ่งประสิทธิภาพที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น การฟังเพลง หรือการชมภาพยนตร์แบบต่อเนื่องได้ยาวนานหลายชั่วโมง

นอกจากนี้ สำหรับลำโพง JBL Flip 3 Special Edition และ JBL Charge 3 Special Edition นั้นยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี Dual Passive Radiators ที่ช่วยขับเสียงเบสให้มีความดังคมชัดมากขึ้นได้ และที่พิเศษไปกว่านั้นคือ ตัวลำโพง JBL Clip 2 Special Edition กับ JBL Charge 3 Special Edition นั้นสามารถป้องกันน้ำได้ลึก 1 เมตร เป็นเวลานาน 30 นาที ตามมาตรฐาน IPX7 (ส่วน JBL Flip 3 Special Edition จะมาพร้อมกับเทคโนโลยี Splashproof จึงสามารถป้องกันน้ำสาด หรือน้ำกระเซ็นได้เท่านั้น)

และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปติดตามชมพร้อมกันเลยดีกว่าว่าลำโพงจากแบรนด์ JBL ทั้ง 3 รุ่นนั้น จะมีดีไซน์เป็นอย่างไร, มีฟีเจอร์อะไรที่โดดเด่น และให้คุณภาพเสียงได้น่าประทับใจขนาดไหน

 

สำรวจคุณสมบัติเด่นของ JBL Clip 2 Special Edition, JBL Flip 3 Special Edition และ JBL Charge 3 Special Edition

ก่อนที่ท่านผู้อ่านจะไปรับชมรีวิวลำโพงบลูทูธสุดล้ำ ทางทีมงานก็ขอพาทุกท่านมาชมคุณสมบัติเด่นของ JBL Clip 2 Special Edition, JBL Flip 3 Special Edition และ JBL Charge 3 Special Edition ก่อน ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

 

JBL Clip 2 Special Edition

- ขนาดของตัวเครื่อง 94x141x42 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 184 กรัม
- รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth เวอร์ชัน 4.2 หรือผ่านสาย AUX ขนาด 3.5 มิลลิเมตร
- อัตราส่วนสัญญาณต่อเสียงรบกวน (Signal-to-noise ratio) : >80dB
- การตอบสนองความถี่ (Frequency Response) 120Hz – 20kHz (-6dB)
- แบตเตอรี่แบบ Lithium-ion Polymer ขนาด 730 mAh ซึ่งสามารถฟังเพลงได้ต่อเนื่องนาน 8 ชั่วโมง
- ระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอรี่ประมาณ 2.5 ชั่วโมง
- ช่องเชื่อมต่อแบบ microUSB สำหรับชาร์จแบตเตอรี่
- มีไมโครโฟน ซึ่งสามารถสนทนาขณะที่มีสายเรียกเข้าได้ทันที
- ตะขอเกี่ยวแบบอะลูมิเนียม
- ตัวเครื่องมีเทคโนโลยีกันน้ำตามมาตรฐาน IPX7 ซึ่งสามารถกันน้ำได้ลึก 1 เมตร เป็นเวลานาน 30 นาที
- มีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ Squad, Mosaic และ Zap
- ราคา 2,490 บาท

 

JBL Flip 3 Special Edition

- ขนาดของตัวเครื่อง 169x64x64 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 450 กรัม
- รองรับเทคโนโลยี Dual Passive Radiators ขับเสียงเบสกระหึ่มสุดเร้าใจ
- รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth เวอร์ชัน 4.0
- อัตราส่วนสัญญาณต่อเสียงรบกวน (Signal-to-noise ratio) : >80dB
- การตอบสนองความถี่ (Frequency Response) 85Hz – 20kHz
- แบตเตอรี่แบบ Lithium-ion Polymer ขนาด 3000 mAh ซึ่งสามารถฟังเพลงได้ต่อเนื่องนาน 10 ชั่วโมง
- ระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอรี่ประมาณ 4.5 ชั่วโมง
- ช่องเชื่อมต่อแบบ microUSB สำหรับชาร์จแบตเตอรี่
- มีไมโครโฟน ซึ่งสามารถสนทนาขณะที่มีสายเรียกเข้าได้ทันที
- รองรับฟังก์ชัน JBL Connect สำหรับรับสัญญาณจากลำโพงอีกหนึ่งตัว เพื่อเล่นเพลงพร้อมกันได้
- รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนได้สูงสุด 3 เครื่อง (สามารถเปิดเล่นเพลงได้ทีละเครื่อง)
- ตัวเครื่องมีเทคโนโลยี Splashproof คือ สามารถป้องกันน้ำหยด หรือน้ำสาดกระเซ็นได้
- มีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ Squad, Zap และ Mosaic 
- ราคา 4,390 บาท

 

JBL Charge 3 Special Edition

- ขนาดของตัวเครื่อง 213x87x88.5 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก 800 กรัม
- รองรับเทคโนโลยี Dual Passive Radiators ขับเสียงเบสกระหึ่มสุดเร้าใจ
- รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth เวอร์ชัน 4.1
- อัตราส่วนสัญญาณต่อเสียงรบกวน (Signal-to-noise ratio) : >80dB
- การตอบสนองความถี่ (Frequency Response) 65Hz – 20kHz
- แบตเตอรี่แบบ Lithium-ion Polymer ขนาด 6000 mAh ซึ่งสามารถฟังเพลงได้ต่อเนื่องนาน 20 ชั่วโมง
- แบตเตอรี่ทำหน้าที่เป็น Power Bank ได้
- ระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอรี่ประมาณ 4.5 ชั่วโมง
- ช่องเชื่อมต่อแบบ microUSB สำหรับชาร์จแบตเตอรี่
- มีไมโครโฟน ซึ่งสามารถสนทนาขณะที่มีสายเรียกเข้าได้ทันที
- รองรับฟังก์ชัน JBL Connect สำหรับรับสัญญาณจากลำโพงอีกหนึ่งตัว เพื่อเล่นเพลงพร้อมกันได้
- รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนได้สูงสุด 3 เครื่อง (สามารถเปิดเล่นเพลงได้ทีละเครื่อง)
- ตัวเครื่องมีเทคโนโลยีกันน้ำตามมาตรฐาน IPX7 ซึ่งสามารถกันน้ำได้ลึก 1 เมตร เป็นเวลานาน 30 นาที
- มีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ Squad, Mosaic และ Zap
- ราคา 6,590 บาท

 

การออกแบบดีไซน์ พร้อมทดสอบการใช้งาน

มาเริ่มกันที่น้องเล็กสุดอย่าง JBL Clip 2 Special Edition นั้นมารูปทรงวงกลม ซึ่งมีขนาดของตัวเครื่องอยู่ที่ 169x64x64 มิลลิเมตร กับน้ำหนัก 184 กรัม

 

โดย JBL Clip 2 Special Edition ที่ทางทีมงานไทยโมบายเซ็นเตอร์ได้มารีวิวนั้นเป็นสี Squad หรือสีลายพลางแบบทหาร

 

ด้านบนของตัวเครื่องมีตะขอเกี่ยวแบบอะลูมิเนียม

 

และใกล้ๆ กันนั้นมีสัญญาณไฟ LED สำหรับแจ้งสถานการณ์ทำงานของเครื่อง เช่น สัญญาณไฟขณะชาร์จแบตเตอรี่ หรือสัญญาณไฟขณะเปิดใช้งาน

 

ด้านล่างของตัวเครื่องมีไมโครโฟน ซึ่งสามารถสนทนาขณะที่มีสายเรียกเข้าได้ทันที

 

ด้านขวาของตัวเครื่องมีปุ่มการสั่งงาน ซึ่งประกอบไปด้วย ปุ่มเปิด-ปิด เครื่อง, ปุ่มเปิด-ปิด บลูทูธ และเชื่อมต่อแบบ microUSB สำหรับชาร์จแบตเตอรี่

 

ด้านซ้ายของตัวเครื่องมีปุ่มการสั่งงาน ซึ่งประกอบไปด้วย ปุ่มเพิ่ม-ลด ระดับเสียง และปุ่มรับสาย หรือวางสายโทรศัพท์

 

ในส่วนด้านใต้ของตัวเครื่องจะมีหัวต่อแบบ AUX ขนาด 3.5 มิลลิเมตร

 

ซึ่งรอบๆ ตัวเครื่องจะมีร่องสำหรับเก็บสาย AUX ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย และตัวสายก็ไม่หลุดออกมาเกะกะอีกด้วย

 

ซึ่งจากการทดสอบด้วยการฟังเพลง JBL Clip 2 Special Edition ก็ทำออกมาได้ดีพอตัว แต่ในส่วนของเสียงเบสนั้นยังไม่หนักแน่นมากนัก เนื่องด้วยไม่มีเทคโนโลยี Dual Passive Radiators แยกออกมาเฉพาะตัวนั่นเอง จึงทำให้ขับเสียงเบสได้ไม่ดีมากนัก

 

JBL Flip 3 Special Edition

มาต่อกันที่ JBL Flip 3 Special Edition กันบ้าง สำหรับ JBL Flip 3 Special Edition นั้นจะมีรูปทรงกระบอก โดยมีขนาดของตัวเครื่องอยู่ที่ 169x64x64 มิลลิเมตร กับน้ำหนัก 450 กรัม ซึ่งสีที่ทางทีมงานได้มารีวิวให้รับชมกันนั้นจะเป็นสี Mosaic

 

โดย Mosaic นั้นถูกออกแบบมาให้วางใช้งานในแนวนอน จึงทำให้ลำโพงเสียงภายนอกจะอยู่ด้านหน้าของตัวเครื่อง ในส่วนของไมโครโฟนก็อยู่ในตำแหน่งนี้ด้วยเช่นกัน

 

ด้านหลังจะมีปุ่มการสั่งงาน ซึ่งประกอบไปด้วย ช่องสำหรับคล้องสายพกพา, ปุ่มเปิด-ปิด เครื่อง, ปุ่มเปิด-ปิด ฟังก์ชัน JBL Connect สำหรับรับสัญญาณจากลำโพงอีกหนึ่งตัว เพื่อเล่นเพลงพร้อมกันได้ และสัญญาณไฟ LED สำหรับแจ้งสถานะเครื่อง เช่น สัญญาณไฟขณะกำลังชาร์จแบตเตอรี่

 

ถัดมาจะมีช่องเชื่อมต่อกับสายแบบ AUX ขนาด 3.5 มิลลิเมตร, ช่องเชื่อมต่อกับสาย microUSB สำหรับชาร์จแบตเตอรี่

 

นอกจากนี้ ยังมีปุ่มเปิด-ปิด บลูทูธ, ปุ่มเพิ่ม-ลด ระดับเสียง และปุ่มรับสาย หรือวางสายโทรศัพท์ ให้ใช้งานด้วยเช่นกัน

 

อีกหนึ่งความน่าสนใจบน JBL Flip 3 Special Edition คือ มีเทคโนโลยี Dual Passive Radiators ซึ่งช่วยเพิ่มกำลังในการขับเสียงเบสให้มีความแน่น และคมชัดมากขึ้น

 

ซึ่งจากการทดสอบด้วยการฟังเพลง JBL Flip 3 Special Edition ก็ทำออกมาได้ดีเป็นอย่างมาก สามารถให้กำลังเสียงได้คมชัด สมจริง อีกทั้งยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี Dual Passive Radiators ซึ่งช่วยเพิ่มกำลังในการขับเสียงเบสให้มีความแน่นมากขึ้น แต่อย่างไรก็ดี ในขณะที่เปิดเพลงที่มีเสียงเบสหนักๆ JBL Flip 3 Special Edition ยังให้กำลังเสียงเบสได้ไม่มากพอ ตัวลำโพงที่ทำงานร่วมกับเทคโนโลยี Dual Passive Radiators นั้นมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก จึงทำให้ JBL Flip 3 Special Edition นั้นเหมาะกับการฟังเพลง Classic หรือ Jazz เสียมากกว่า

 

นอกจากนี้ ตัวเครื่องของ JBL Flip 3 Special Edition ยังถูกถ่วงน้ำหนักเอาไว้ นั่นหมายความว่าไม่ว่าจะกลิ้ง หรือดัน เจ้า JBL Flip 3 Special Edition ก็จะหมุนกลับมาอยู่ที่ตำแหน่งเดิมเสมอ จึงหมดห่วงเรื่องกลิ้งตกลงพื้นไปได้เลย

 

JBL Charge 3 Special Edition

สำหรับ JBL Charge 3 Special Edition นั้นมีรูปทรงกระบอกเช่นเดียวกัน แต่มีขนาดใหญ่กว่า JBL Flip 3 Special Edition อยู่พอสมควร โดย JBL Charge 3 Special Edition จะมีขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 213x87x88.5 มิลลิเมตร กับน้ำหนัก 800 กรัม

 

โดยสีที่ทางทีมงานได้มารีวิวนั้นจะเป็นสี Zap

 

ด้านบนของตัวเครื่องมีปุ่มการสั่งงาน ซึ่งประกอบไปด้วย ปุ่มเปิด-ปิด บลูทูธ, ปุ่มเพิ่ม-ลด ระดับเสียง, ปุ่มเปิด-ปิด เครื่อง, ปุ่มเปิด-ปิด ฟังก์ชัน JBL Connect สำหรับรับสัญญาณจากลำโพงอีกหนึ่งตัว เพื่อเล่นเพลงพร้อมกันได้ และปุ่มเล่น-หยุด เพลง

 

ด้านหลังของตัวเครื่องมีช่องเชื่อมต่อกับสายแบบ AUX ขนาด 3.5 มิลลิเมตร, ช่องเชื่อมต่อกับสาย microUSB สำหรับชาร์จแบตเตอรี่ และพอร์ต USB เวอร์ชัน 2.0

 

ซึ่ง JBL Charge 3 Special Edition จะทำหน้าที่เป็น Power Bank ผ่านพอร์ต USB เวอร์ชัน 2.0 ในการจ่ายไฟสำหรับชาร์จแบตเตอรี่สมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ตได้

 

ถัดลงมาจะมีฐานสำหรับวาง JBL Charge 3 Special Edition ในแนวราบ พร้อมด้วยสัญญาณไฟ LED สำหรับแจ้งสถานะเครื่อง เช่น สัญญาณไฟขณะกำลังชาร์จแบตเตอรี่

 

อีกหนึ่งความน่าสนใจบน JBL Charge 3 Special Edition คือ มีเทคโนโลยี Dual Passive Radiators ซึ่งช่วยเพิ่มกำลังในการขับเสียงเบสให้มีความแน่น และคมชัดมากขึ้น อีกทั้งยังมีขนาดใหญ่กว่าของ JBL Flip 3 Special Edition 

 

โดยจากการทดสอบด้วยการฟังเพลงบน JBL Charge 3 Special Edition นั้นเรียกได้ว่า น่าประทับใจเป็นอย่างมาก สามารถให้คุณภาพเสียงที่คมชัด สมจริง และมีรายละเอียดเสียงสูง-ต่ำ ครบถ้วน ซึ่งเหมาะที่จะนำไปเปิดเพลงได้ทุกแนว ไม่เพียงเท่านั้น ทางด้านเทคโนโลยี Dual Passive Radiators ก็ให้กำลังเสียงเบสได้ค่อนข้างแน่น และสามารถตอบโจทย์ด้านการฟังเพลงที่มีเบสหนักๆ ได้ดีกว่า JBL Flip 3 Special Edition อีกด้วย

 

JBL Clip 2 Special Edition, JBL Flip 3 Special Edition และ JBL Charge 3 Special Edition มาพร้อมเทคโนโลยีกันน้ำ

อย่างที่กล่าวไว้ในข้างต้นว่า JBL Clip 2 Special Edition กับ JBL Charge 3 Special Edition นั้นมาพร้อมกับเทคโนโลยีกันน้ำตามมาตรฐาน IPX7 ซึ่งสามารถกันน้ำได้ลึก 1 เมตร เป็นเวลานาน 30 นาที เลยทีเดียว จึงเหมาะกับนำไปใช้งานได้ในทุกสถานการณ์ เช่น การเปิดเพลงฟังพร้อมๆ กับครอบครัวในการงานเทศกาลสงกรานต์ที่จะถึงนี้ ส่วนทางด้าน JBL Flip 3 Special Edition นั้นมาพร้อมกับเทคโนโลยี Splashproof ซึ่งสามารถป้องกันน้ำสาดกระเซ็นได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่สามารถนำไปจุ่มน้ำ หรือนำตัวเครื่องลงไปใต้น้ำได้

 

สรุปผลการทดสอบ

นับว่าเป็นลำโพงที่มีความน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว สำหรับ JBL Clip 2 Special Edition, JBL Flip 3 Special Edition และ JBL Charge 3 Special Edition ซึ่งอันดับแรกต้องขอยอมรับในเรื่องของการออกแบบดีไซน์ที่มีความสวยงามลงตัวเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีสีสันที่เป็นเอกลักลักษณ์เฉพาะตัว 3 แบบ 3 สไตล์ เรียกได้ว่า พกพาไปใช้งานตามสถานที่ต่างๆ ต้องสะดุดสายตาคนรอบข้างได้อย่างแน่นอน และที่พิเศษไปกว่านั้นตัวเครื่องของ JBL Clip 2 Special Edition กับ JBL Charge 3 Special Edition ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีกันน้ำตามมาตรฐาน IPX7 ซึ่งสามารถกันน้ำได้ลึก 1 เมตร เป็นเวลานาน 30 นาที แต่จะมีเพียง JBL Flip 3 Special Edition เท่านั้นที่สามารถกันได้เพียงน้ำสาด หรือน้ำกระเซ็น ซึ่งจากการทดสอบด้วยการราดน้ำลงไปบนลำโพงทั้ง 3 ตัว ด้วยการเทน้ำลงไปบนตัวเครื่อง ก็พบว่าลำโพงทั้ง 3 ตัวไม่ได้รับผลกระทบใดๆ และยังสามารถปล่อยพลังเสียงได้อย่างเต็มที่ไม่ต่างจากเดิมเลยแม้แต่น้อย และด้วยความสามารถในจุดนี้ผู้ใช้สามารถนำ JBL Clip 2 Special Edition, JBL Flip 3 Special Edition และ JBL Charge 3 Special Edition ไปใช้เปิดเพลงฟังพร้อมๆ กับครอบครัวในการงานเทศกาลสงกรานต์ได้แบบไม่ต้องกลัวน้ำอีกต่อไป

ทางด้านคุณภาพเสียงทางผู้เขียนขอสรุปที่ละรุ่นดังนี้ เริ่มด้วยน้องเล็กสุดอย่าง JBL Clip 2 Special Edition ซึ่งจากการทดสอบพบว่าสามารถให้คุณภาพโดยรวมถือว่าดี แต่รายละเอียดต่างๆ ยังไม่คมชัดมากนัก ในส่วนของเสียงเบสนั้นยังทำออกมาได้ไม่ดีเท่าที่ควร เนื่องด้วยไม่มีเทคโนโลยี Dual Passive Radiators แยกออกมาเฉพาะตัว แต่ในเรื่องของการพกพานั้นสบายหายห่วง ด้วยความที่ตัวเครื่องน้ำหนักเบา แถมยังมาพร้อมกับตะขอเกี่ยวแบบอะลูมิเนียม จึงมั่นใจได้ในเรื่องของความแข็งแรงทนทานได้เป็นอย่างดี

มาต่อกันที่ JBL Flip 3 Special Edition สำหรับคุณภาพเสียงนั้นก็ทำออกมาได้ดีเป็นอย่างมาก สามารถให้กำลังเสียงที่ดี อีกทั้งยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี Dual Passive Radiators ซึ่งช่วยเพิ่มกำลังในการขับเสียงเบสให้มีความแน่นมากขึ้นอีกด้วย ส่วนเสียงสูง กับเสียงต่ำ ยังไม่คมชัดมากนัก ซึ่งโดยรวมแล้วทางด้านคุณภาพเสียงนั้นถือว่ามีคุณภาพกว่า JBL Clip 2 Special Edition อยู่พอสมควรเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ดี ตัวลำโพงที่ทำงานร่วมกับเทคโนโลยี Dual Passive Radiators นั้นมีขนาดเล็ก จึงไม่เหมาะกับการฟังเพลงที่มีเบสหนักๆ แต่จะเหมาะกับการฟังเพลงแนว Classic หรือ Jazz เสียมากกว่า

ในส่วนของ JBL Charge 3 Special Edition นั้นให้คุณภาพเสียงดีกว่าสองรุ่นที่ผ่านมาในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น คุณภาพเสียงที่คมชัด สมจริง แถมมีรายละเอียดเสียงสูง-ต่ำ ครบถ้วน และด้วยลำโพงขนาดใหญ่ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี Dual Passive Radiators จึงให้กำลังเสียงเบสได้แน่นเป็นลูก ซึ่งสามารถตอบโจทย์การฟังเพลงที่มีเบสหนักๆ ได้ดีเป็นอย่างมาก 

สำหรับท่านใดที่สนใจก็สามารถหาซื้อ JBL Clip 2 Special Edition (ราคา 2,490 บาท), JBL Flip 3 Special Edition (ราคา 4,390 บาท) และ JBL Charge 3 Special Edition (ราคา 6,590 บาท) ได้ที่ร้านค้าตัวแทนจำหน่าย หรือสามารถสั่งซื้อได้ง่ายๆ ผ่านเว็บไซต์ mahajaklife.com สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณทาง JBL ประเทศไทย ที่ให้ความไว้วางใจส่งลำโพงทั้ง 3 รุ่น มาให้ทางทีมงานได้ทำการรีวิวให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกัน สำหรับวันนี้ต้องขอลาไปก่อน พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า สวัสดีครับ

 

นำเสนอบทความโดย : thaimobilecenter.com



วันที่ : 24/3/60


  แสดงความคิดเห็นที่นี่
ชื่อผู้โพสต์  (สมาชิกlogin ที่นี่) / สมัครสมาชิก
*
รายละเอียด
*

 
           Tags | More Smiles
ใส่ปี พ.ศ. ปัจจุบัน   ใส่เฉพาะปี พ.ศ. 4 ตัวเท่านั้น  
 












    Catalog มือถือ     market     Review มือถือ      ราคามือถือ     forum
Catalog มือถือ
Catalog มือถือ Nokia
Catalog มือถือ Samsung
Catalog มือถือ SonyEricsson
Catalog มือถือ i-mobile
Catalog มือถือ LG
Catalog มือถือ BlackBerry
ลงประกาศสินค้ามือถือ
สมัครสมาชิก
หน้าแรกตลาดซื้อขายมือถือ
 
หน้าแรกรีวิว
รีวิว มือถือ Nokia
รีวิว มือถือ Samsung
รีวิว มือถือ Motorola
รีวิว มือถือ LG
 

ราคามือถือ Samsung
ราคามือถือ iPhone
ราคามือถือ Huawei
ราคามือถือ OPPO
ราคามือถือ Vivo
   
   
หน้าแรก cafe
Nokia club
ตั้งหัวข้อใหม่
 

© Copyright all rights reserved : ThaiMobileCenter.com