หากพูดถึง SmartWatch หรือ นาฬิกาอัจฉริยะ รุ่นใหม่ๆ ที่เพิ่งเปิดตัวกันไป ผู้อ่านหลายๆ ท่านก็คงเคยอ่านข้อมูล หรือเห็นผ่านตากันไปบ้างแล้ว โดย SmartWatch นั้นเป็นนาฬิกาอัจฉริยะที่มีความสามารถพิเศษมากกว่าการบอกเวลา และมีความสามารถในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอแสดงผลแบบสัมผัส, การเชื่อมต่อข้อมูลผ่าน Bluetooth, การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านระบบ WiFi และ 3G, เซ็นเซอร์วัดการเต้นของหัวใจ, เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิอากาศ, ระบบ GPS ในตัว, กล้องดิจิตอลในตัว รวมไปถึงยังสามารถซิงค์ข้อมูลจากสมาร์ทโฟน และสามารถสนทนาผ่าน SmartWatch แทนสมาร์ทโฟนได้อีกด้วย 
โดย SmartWatch ก็นับเป็นอุปกรณ์ประเภทหนึ่งในกลุ่มของ Wearable Devices ซึ่ง ณ ปัจจุบัน SmartWatch นั้นมีตัวเลือกที่น่าสนใจมากมายหลายรุ่นหลายแบรนด์ และมีความสามารถ หรือจุดขายที่แตกต่างกันไป และในวันนี้ทางทีมงานไทยโมบายเซ็นเตอร์ จะมารวบรวมข้อมูล นาฬิกาอัจฉริยะ หรือ SmartWatch รุ่นใหม่ล่าสุด พร้อมจุดเด่นในแต่ละรุ่น รวมถึงข้อมูลราคาวางหน่ายในปัจจุบันมาให้ผู้อ่านได้ชมกันครับ ถ้าพร้อมแล้วไปชมกันเลย Samsung Gear 2 
Samsung Gear 2 สมาร์ทวอทช์รุ่นต่อยอดจาก Samsung Galaxy Gear โดยวัสดุทำมาจากโลหะ และมีดีไซน์สวยงาม หรูหรา แถมยังมาพร้อมกล้องดิจิตอลในตัว ความละเอียดระดับ 2 ล้านพิกเซล รวมไปถึงฟีเจอร์เด่นๆ อย่าง WatchON Remote ที่สามารถใช้งานแทนรีโมทคอลโทรลสำหรับ LCV-TV และอุปกรณ์ Set-Top Box ได้ โดยใช้งานร่วมกับ Infrared LED คุณสมบัติโดยรวมของ Samsung Gear 2 - ขนาด 58.4x36.9x10 มิลลิเมตร - น้ำหนัก 68 กรัม - ตัวเครื่องมีคุณสมบัติในการป้องกันน้ำ และป้องกันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP67 - ชนิดจอแสดงผลแบบ Super AMOLED ขนาด 1.63 นิ้ว ความละเอียด 320x320 Pixels - สั่งงานด้วยระบบสัมผัสบนหน้าจอแสดงผล (Touch Screen) - ระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวแบบ Gyroscope - ระบบ Accelerometer Sensor ช่วยหมุนหรือปรับเปลี่ยนทิศทางการแสดงผลของหน้าจอให้แบบอัตโนมัติ ตามลักษณะการจับถือของผู้ใช้ - เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ - หน่วยประมวลผลแบบ Dual-Core ความเร็ว 1 GHz - ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Tizen - Bluetooth เวอร์ชัน 4.0 LE - Infrared LED - หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูลขนาด 4 GB - หน่วยความจำ RAM ขนาด 512 MB - กล้องดิจิตอลในตัว ความละเอียดระดับ 2 ล้าน Pixels (ความละเอียดสูงสุดของภาพถ่าย 1600x1200 Pixels) - ถ่ายภาพวีดีโอ (HD : 1280x720 bPixels : 30 fps) - แบตเตอรี่ 300 mAh - ระดับการใช้งานปกติ : แบตเตอรี่สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นาน 2-3 วัน - ระดับการใช้งานน้อย : แบตเตอรี่สามารถอยู่ได้นาน 6 วัน - เปิดตัวครั้งแรก เมื่อ เดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2014 - ราคา 8,900 บาท Samsung Gear 2 Neo 
Samsung Gear 2 Neo สมาร์ทวอทช์รุ่นน้องรองจาก Samsung Gear 2 โดยรุ่นนี้จะถูกตัดความสามารถในด้านกล้องดิจิตอลออกไป แต่ความสามารถด้านอื่นๆ ยังมีความพิเศษไม่แพ้รุ่นพี่เลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ และคุณสมบัติในการป้องกันน้ำ และป้องกันฝุ่น คุณสมบัติโดยรวมของ Samsung Gear 2 Neo - ขนาด 58.4x36.9x10 มิลลิเมตร - น้ำหนัก 55 กรัม - ตัวเครื่องมีคุณสมบัติในการป้องกันน้ำ และป้องกันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP67 - ชนิดจอแสดงผลแบบ Super AMOLED ขนาด 1.63 นิ้ว ความละเอียด 320x320 Pixels - สั่งงานด้วยระบบสัมผัสที่หน้าจอแสดงผล (Touch Screen) - ระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวแบบ Gyroscope - ระบบ Accelerometer Sensor ช่วยหมุนหรือปรับเปลี่ยนทิศทางการแสดงผลของหน้าจอให้แบบอัตโนมัติ ตามลักษณะการจับถือของผู้ใช้ - เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ - หน่วยประมวลผลแบบ Dual-Core ความเร็ว 1 GHz - ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Tizen - Bluetooth เวอร์ชัน 4.0 LE - Infrared LED - หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูลขนาด 4 GB - หน่วยความจำ RAM ขนาด 512 MB - แบตเตอรี่ 300 mAh - ระดับการใช้งานปกติ : แบตเตอรี่สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นาน 2-3 วัน - ระดับการใช้งานน้อย : แบตเตอรี่สามารถอยู่ได้นาน 6 วัน - เปิดตัวครั้งแรก เมื่อ เดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2014 - ราคา 5,900 บาท Samsung Gear Fit 
Samsung Gear Fit นาฬิกาอัจฉริยะที่เน้นไปในเรื่องของการออกกำลังกาย หรือดูแลสุขภาพ โดยมีการดีไซน์จอโค้ง ที่โค้งรับกับข้อมือ และสายนาฬิกานั้นทำมาจากวัสดุยางที่มีน้ำหนักเบา ด้วยความพิเศษของ Samsung Gear Fit นั้นรองรับการแจ้งเตือนข้อความต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น SMS, อีเมล และแอปพลิเคชันอื่นๆ จากสมาร์ทโฟนโดยตรง รวมไปถึงยังมีการแจ้งเตือนจากสายเรียกเข้าอีกด้วย
คุณสมบัติโดยรวมของ Samsung Gear Fit - ขนาด 23.4x57.4x11.95 มิลลิเมตร - น้ำหนัก 27 กรัม - ตัวเครื่องมีคุณสมบัติในการป้องกันน้ำ และป้องกันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP67 - ชนิดจอแสดงผลแบบ Curved Super AMOLED ขนาด 1.84 นิ้ว ความละเอียด 432x128 Pixels - สั่งงานด้วยระบบสัมผัสบนหน้าจอแสดงผล (Touch Screen) - ระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวแบบ Gyroscope - ระบบ Accelerometer Sensor ช่วยหมุนหรือปรับเปลี่ยนทิศทางการแสดงผลของหน้าจอให้แบบอัตโนมัติ ตามลักษณะการจับถือของผู้ใช้ - เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ - หน่วยประมวลผลแบบ Dual-Core ความเร็ว 1 GHz - ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Tizen - Bluetooth เวอร์ชัน 4.0 - แบตเตอรี่ 210 mAh - ระดับการใช้งานปกติ : แบตเตอรี่สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นาน 3-4 วัน ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง - ระดับการใช้งานน้อย : แบตเตอรี่สามารถอยู่ได้นาน 5 วัน ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง - เปิดตัวครั้งแรก เมื่อ เดือนเมษายน ปี ค.ศ. 2014 - ราคา 5,900 บาท Samsung Gear Live

Samsung Gear Live สมาร์ทวอทช์ตระกูล Gear รุ่นแรกที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android Wear โดยสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนที่รันบนระบบปฏิบัติการ Android 4.3 (Jelly Bean) ขึ้นไปได้ทุกรุ่นอีกด้วย ซึ่งมีฟีเจอร์เด่นที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ, การแจ้งเตือนข้อความ SMS, การแจ้งเตือนอีเมล, การนับก้าว และแสดงการพยากรณ์อากาศ เป็นต้น รวมไปถึงบริการอื่นๆ จากกูเกิล คุณสมบัติโดยรวมของ Samsung Gear Live - ขนาด 37.9x56.4x8.9 มิลลิเมตร - น้ำหนัก 59 กรัม - ชนิดจอแสดงผลแบบ Super AMOLED ขนาด 1.63 นิ้ว ความละเอียด 320x320 Pixels - สั่งงานด้วยระบบสัมผัสบนหน้าจอแสดงผล (Touch Screen) - ระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวแบบ Gyroscope - ระบบ Accelerometer Sensor ช่วยหมุนหรือปรับเปลี่ยนทิศทางการแสดงผลของหน้าจอให้แบบอัตโนมัติ ตามลักษณะการจับถือของผู้ใช้ - ตัวเครื่องมีคุณสมบัติในการป้องกันน้ำ และป้องกันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP67 - เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ - เข็มทิศ - หน่วยประมวลผลแบบ Dual-Core ความเร็ว 1.2 GHz - ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android Wear - Bluetooth เวอร์ชัน 4.0 LE - หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูลขนาด 4 GB - หน่วยความจำ RAM ขนาด 512 MB - แบตเตอรี่ 300 mAh - ระดับการใช้งานปกติ : แบตเตอรี่สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นาน 1 วัน - ระดับการใช้งานน้อย : แบตเตอรี่สามารถอยู่ได้นาน 2 วัน - เปิดตัวครั้งแรก เมื่อ เดือนมิถุนายน ปี ค.ศ. 2014 - ราคา 199.99$ (ประมาณ 6,500 บาท) Samsung Gear S 

Samsung Gear S สมาร์ทวอทช์ระดับไฮเอนด์จาก ซัมซุง ที่มีความพิเศษเหนือชั้นไปอีกขั้น โดยสามารถรองรับการใส่ซิมการ์ด พร้อมทั้งยังสามารถโทรออกไปยังสมาร์ทโฟนอื่นๆ ได้อีกด้วย รวมไปถึงการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านระบบ WiFi และ 3G ซึ่งเป็นเสมือนสมาร์ทโฟนที่อยู่บนข้อมือเลยทีเดียว
คุณสมบัติโดยรวมของ Samsung Gear S - ใช้งานร่วมกับซิมการ์ดแบบ nanoSIM เท่านั้น - ขนาด 58.3x39.8x12.5 มิลลิเมตร - ตัวเครื่องมีคุณสมบัติในการป้องกันน้ำ และป้องกันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP67 - ชนิดจอแสดงผลแบบ Super AMOLED ขนาด 2.0 นิ้ว ความละเอียด 360x480 Pixels - สั่งงานด้วยระบบสัมผัสบนหน้าจอแสดงผล (Touch Screen) - ระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวแบบ Gyroscope - ระบบ Accelerometer Sensor ช่วยหมุนหรือปรับเปลี่ยนทิศทางการแสดงผลของหน้าจอให้แบบอัตโนมัติ ตามลักษณะการจับถือของผู้ใช้ - ฟังก์ชัน Ambient Light Sensor สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอให้เหมาะสม - เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ - หน่วยประมวลผลแบบ Dual-Core ความเร็ว 1 GHz - ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Tizen - หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูลขนาด 4 GB - หน่วยความจำ RAM ขนาด 512 MB - รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านระบบ WiFi (WLAN : Wireless LAN : 802.11 b/g/n) และ 3G Dual Band (900/2100 MHz) - Bluetooth เวอร์ชัน 4.0 - ระบบ GPS ในตัว (Global Positioning System : ระบบดาวเทียมนำร่อง) - ชนิดแบตเตอรี่ Li-Ion 300 mAh - ระดับการใช้งานปกติ : แบตเตอรี่สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นาน 24 ชั่วโมง ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง - ระดับการใช้งานน้อย : แบตเตอรี่สามารถอยู่ได้นาน 2 วัน ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง - เปิดตัวครั้งแรก เมื่อ เดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 2014 - ราคา 11,900 บาท Sony SmartWatch 3 SWR50 
Sony SmartWatch 3 SWR50 สมาร์ทวอทช์รุ่นต่อยอด ที่ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android Wear ตัวแรกจากค่าย Sony ซึ่งมีฟีเจอร์ต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น การแจ้งเตือนข้อความ SMS, การแจ้งเตือนอีเมล, แผนที่, การนับก้าว, การแสดงการพยากรณ์อากาศ และบริการจากกูเกิล รวมไปถึงประมวลผลการทำงานด้วย Quad-Core ARM A7 Processor ความเร็ว 1.2 GHz และที่พิเศษไปกว่านั้น คือสามารถรองรับการสื่อสารข้อมูลระยะใกล้แบบ NFC ได้อีกด้วย คุณสมบัติโดยรวมของ Sony SmartWatch 3 SWR50 - ขนาด 36x10x51 มิลลิเมตร - น้ำหนัก 45 กรัม - ตัวเครื่องมีคุณสมบัติในการป้องกันน้ำ และป้องกันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP68 - ชนิดจอแสดงผลแบบ TFT LCD ขนาด 1.6 นิ้ว ความละเอียด 320x320 Pixels - สั่งงานด้วยระบบสัมผัสบนหน้าจอแสดงผล (Touch Screen) - ระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวแบบ Gyroscope - ระบบ Accelerometer Sensor ช่วยหมุนหรือปรับเปลี่ยนทิศทางการแสดงผลของหน้าจอให้แบบอัตโนมัติ ตามลักษณะการจับถือของผู้ใช้ - ฟังก์ชัน Ambient Light Sensor สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอให้เหมาะสม - เข็มทิศ - ประมวลผลการทำงานด้วย Quad-Core ARM A7 Processor ความเร็ว 1.2 GHz - ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android Wear - Bluetooth เวอร์ชัน 4.0 LE - รองรับการสื่อสารข้อมูลระยะใกล้แบบ NFC - ระบบ GPS ในตัว (Global Positioning System : ระบบดาวเทียมนำร่อง) - หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูลขนาด 4 GB - หน่วยความจำ RAM ขนาด 512 MB - แบตเตอรี่ 420 mAh - ระดับการใช้งานปกติ : แบตเตอรี่สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นาน 2 วัน - เปิดตัวครั้งแรก เมื่อ เดือนกันยายน ปี ค.ศ. 2014 - ราคา 229.99 ยูโร (ประมาณ 9,600 บาท) Motorola Moto 360 

Motorola Moto 360 สมาร์ทวอทช์รุ่นแรกจากค่าย Motorola ซึ่งมีการดีไซน์ที่แตกต่างไปจากแบรนด์อื่น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งตัวเรือนจะเป็นทรงกลม และขอบตัวเรือนจะมีความมันวาวแบบโครเมียม และยังมาพร้อมจอแสดงผลแบบ Backlit LCD ขนาด 1.56 นิ้ว และกระจกหน้าจอแบบ Corning Gorilla Glass 3 รวมไปถึงระบบปฏิบัติการ Android Wear ซึ่งมีฟีเจอร์ต่างๆ ครบเครื่องไม่ว่าจะเป็น การแจ้งเตือนข้อความ SMS, การแจ้งเตือนข้อความอีเมล, แผนที่, การนับก้าว, การแสดงการพยากรณ์อากาศ และบริการอื่นๆ จากกูเกิล
คุณสมบัติโดยรวมของ Motorola Moto 360 - ขนาด 45.8x12.1 มิลลิเมตร - น้ำหนัก 54 กรัม - ตัวเครื่องมีคุณสมบัติในการป้องกันน้ำ และป้องกันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP67 - ชนิดจอแสดงผลแบบ Backlit LCD ขนาด 1.56 นิ้ว ความละเอียด 320x290 Pixels - กระจกหน้าจอแบบ Corning Gorilla Glass 3 ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันแรงกระแทก หรือรอยขีดข่วน - สั่งงานด้วยระบบสัมผัสที่หน้าจอแสดงผล (Touch Screen) - ไมโครโฟนแยกเฉพาะ - ระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวแบบ Gyroscope - ระบบ Accelerometer Sensor ช่วยหมุนหรือปรับเปลี่ยนทิศทางการแสดงผลของหน้าจอให้แบบอัตโนมัติ ตามลักษณะการจับถือของผู้ใช้ - ฟังก์ชัน Ambient Light Sensor สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอให้เหมาะสม - เซ็นเซอร์นับก้าว (Pedometer) - เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ - หน่วยประมวลผลแบบ TI OMAP 3 Processor ความเร็ว 1.2 GHz - ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android Wear - Bluetooth เวอร์ชัน 4.0 LE - หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูลขนาด 4 GB - หน่วยความจำ RAM ขนาด 512 MB - ชนิดแบตเตอรี่ 320 mAh - เปิดตัวครั้งแรก เมื่อ เดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 2014 - ราคาสำหรับสายหนังอยู่ที่ $249.99 (ประมาณ 8,000 บาท) และราคาสำหรับสายเหล็กอยู่ที่ $300 (ประมาณ 9,600 บาท) LG G Watch 
LG G Watch สมาร์ทวอทช์รุ่นแรกจากค่าย LG โดยมาพร้อมหน่วยประมวลผลแบบ Qualcomm Snapdragon 400 ความเร็ว 1.2 GHz และ 9 Axis Sensor (Gyro+Accelerometer+Compass) ซึ่งเป็นเซ็นเซอร์ตัวใหม่ล่าสุดที่มีความแม่นยำสูง รวมไปถึงระบบปฏิบัติการ Android Wear ซึ่งมีฟีเจอร์ต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น การแจ้งเตือนข้อความ SMS, การแจ้งเตือนอีเมล, แผนที่, การนับก้าว, แสดงการพยากรณ์อากาศ และบริการอื่นๆ จากกูเกิล คุณสมบัติโดยรวมของ LG G Watch - ขนาด 37.9x46.5x9.95 มิลลิเมตร - น้ำหนัก 63 กรัม - ตัวเครื่องมีคุณสมบัติในการป้องกันน้ำ และป้องกันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP67 - ชนิดจอแสดงผลแบบ IPS LCD ขนาด 1.65 นิ้ว ความละเอียด 280x280 Pixels - สั่งงานด้วยระบบสัมผัสบนหน้าจอแสดงผล (Touch Screen) - 9 Axis Sensor (Gyro+Accelerometer+Compass) - หน่วยประมวลผลแบบ Qualcomm Snapdragon 400 ความเร็ว 1.2 GHz - ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android Wear - Bluetooth เวอร์ชัน 4.0 - หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูลขนาด 4 GB - หน่วยความจำ RAM ขนาด 512 MB - ชนิดแบตเตอรี่ 400 mAh - เปิดตัวครั้งแรก เมื่อ เดือนมิถุนายน ปี ค.ศ. 2014 - วางจำหน่ายราคา 179$ (ประมาณ 5,700 บาท) - สามารถสั่งซื้อได้ผ่านทาง Goolge Play และ Best Buy
LG G Watch R 

LG G Watch R สมาร์ทวอทช์รุ่นที่สองจากค่าย LG พร้อมการดีไซน์ที่แตกต่างจากรุ่นก่อน โดยตัวเรือนจะเป็นทรงกลม และการออกแบบดีไซน์แนว Sport ที่เหมาะสมสำหรับผู้ชาย สามารถสวมใส่ใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัว โดยจะมีจอแสดงผลแบบ P-OLED ขนาด 1.3 นิ้ว ส่วนด้านสเปคอื่นๆ ก็ยังคงเดิมเหมือนกับรุ่นก่อนหน้านี้ ซึ่งประมวลผลการทำงาน Qualcomm Snapdragon 400 ความเร็ว 1.2 GHz และมี 9 Axis Sensor (Gyro+Accelerometer+Compass) รวมไปถึงคุณสมบัติในการป้องกันน้ำ และป้องกันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP67 เช่นกัน คุณสมบัติโดยรวมของ LG G Watch R - ขนาด 46.4x53.6x9.7 มิลลิเมตร - น้ำหนัก 62 กรัม - ตัวเครื่องมีคุณสมบัติในการป้องกันน้ำ และป้องกันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP67 - ชนิดจอแสดงผลแบบ P-OLED ขนาด 1.3 นิ้ว ความละเอียด 320x320 Pixels - สั่งงานด้วยระบบสัมผัสบนหน้าจอแสดงผล (Touch Screen) - 9 Axis Sensor (Gyro+Accelerometer+Compass) - เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ - เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิอากาศ (Barometer) - หน่วยประมวลผลแบบ Qualcomm Snapdragon 400 ความเร็ว 1.2 GHz - ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android Wear - Bluetooth เวอร์ชัน 4.0 - หน่วยความจำภายในสำหรับเก็บบันทึกข้อมูลขนาด 4 GB - หน่วยความจำ RAM ขนาด 512 MB - ชนิดแบตเตอรี่ 410 mAh - เปิดตัวครั้งแรก เมื่อ เดือนกันยายน ปี ค.ศ. 2014 - ราคา $299 (ประมาณ 9,800 บาท)
Asus Zen Watch 

Asus Zen Watch สมาร์ทวอทช์รุ่นแรกจากค่าย Asus ที่มาพร้อมวัสดุชั้นดี และมีการการดีไซน์ที่เรียบหรู โดยจะมีจอแสดงผลแบบ AMOLED ขนาด 1.63 นิ้ว และกระจกหน้าจอแบบ Corning Gorilla Glass 3 รวมไปถึงระบบปฏิบัติการ Android Wear ซึ่งมีฟีเจอร์ต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น การแจ้งเตือนข้อความ SMS, การแจ้งเตือนอีเมล, แผนที่, การนับก้าว, การแสดงพยากรณ์อากาศ และบริการอื่นๆ จากกูเกิล คุณสมบัติโดยรวมของ Asus Zen Watch
- ขนาด 51x39.9x7.9 มิลลิเมตร - น้ำหนัก 50 กรัม - ตัวเครื่องมีคุณสมบัติในการป้องกันน้ำ และป้องกันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP55 - ชนิดจอแสดงผลแบบ AMOLED ขนาด 1.63 นิ้ว ความละเอียด 320x320 Pixels - กระจกหน้าจอแบบ Corning Gorilla Glass 3 ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันแรงกระแทก หรือรอยขีดข่วน - สั่งงานด้วยระบบสัมผัสบนหน้าจอแสดงผล (Touch Screen) - 9 Axis Sensor (Gyro+Accelerometer+Compass) - Bio Sensor - เซ็นเซอร์เพื่อสุขภาพ - หน่วยประมวลผลแบบ Qualcomm Snapdragon 400 ความเร็ว 1.2 GHz - ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android Wear - Bluetooth เวอร์ชัน 4.0 LE - แบตเตอรี่ Li-Ion Polymer 1.4Wh - เปิดตัวครั้งแรก เมื่อ เดือนกันยายน ปี ค.ศ. 2014 - ราคา 199 ยูโร (ประมาณ 8,000 บาท) Microsoft Band 

Microsoft Band จะเป็นอุปกรณ์สวมใส่บนข้อมือที่เน้นการเก็บข้อมูลด้านสุขภาพโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นการบันทึกตำแหน่งต่างๆ ที่ผู้ใช้งานออกกำลังกาย, การเต้นของหัวใจ และมีเซ็นเซอร์วัดระดับ UV ในตัว รวมไปถึงการแจ้งเตือนข้อความต่างๆ บนสมาร์ทโฟน และที่พิเศษไปกว่านั้น Microsoft Band ยังรองรับกับระบบปฏิบัติการ Windows Phone, Android และ iOS อีกด้วย คุณสมบัติโดยรวมของ Microsoft Band - ขนาด 11x33 มิลลิเมตร - น้ำหนัก 60 กรัม - ตัวเครื่องมีคุณสมบัติในการป้องกันน้ำ และป้องกันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP67 - ชนิดจอแสดงผลแบบ TFT LCD ขนาด 1.4 นิ้ว ความละเอียด 320x106 Pixels - สั่งงานด้วยระบบสัมผัสบนหน้าจอแสดงผล - ไมโครโฟนแยกเฉพาะ - ระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวแบบ Gyroscope - ระบบ Accelerometer Sensor ช่วยหมุนหรือปรับเปลี่ยนทิศทางการแสดงผลของหน้าจอให้แบบอัตโนมัติ ตามลักษณะการจับถือของผู้ใช้ - ฟังก์ชัน Ambient Light Sensor สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอให้เหมาะสม - เซ็นเซอร์นับก้าว (Pedometer) - เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ - หน่วยประมวลผลแบบ ARM Cortex M4 MCU ความเร็ว 1.2 GHz - ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Android Wear - Bluetooth เวอร์ชัน 4.0 - หน่วยความจำ RAM ขนาด 64 MB - ระบบ GPS ในตัว (Global Positioning System : ระบบดาวเทียมนำร่อง) - แบตเตอรี่ 100 mAh - ระดับการใช้งานปกติ : แบตเตอรี่สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นาน 48 ชั่วโมง - เปิดตัวครั้งแรก เมื่อ เดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 2014 - ราคา $199 (ประมาณ 6,400 บาท) Apple Watch 

สำหรับ Apple Watch นั้นเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2557 โดยมีทั้งหมด 3 รุ่นย่อย ด้วยกันได้แก่ Apple Watch, Apple Watch Sport และ Apple Watch Edition ซึ่งทั้ง 3 รุ่นย่อย ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ iOS, ใช้จอแสดงผลแบบ Retina Display IPS LCD ขนาด 1.5 นิ้ว, ระบบการสั่นไหวแบบ Taptic Engine ที่ให้ความแรงของการสั่นไหวที่สูงเป็นพิเศษ รวมไปถึงประมวลผลการทำงานด้วย ชิปเซ็ต Apple S1 และที่พิเศษไปกว่านั้น Apple Watch ยังรองรับการเก็บบันทึกข้อมูลแบบ Cloud Storage ด้วยบริการ iCloud Service อีกด้วย คุณสมบัติโดยรวมของ Apple Watch - ขนาดตัวเรือน 42 มิลลิเมตร หรือ 38 มิลลิเมตร (ขึ้นอยู่กับแต่ละโมเดลย่อย) - ชนิดจอแสดงผลแบบ Retina Display IPS LCD ขนาด 1.5 นิ้ว ความละเอียด 272x340 Pixels หรือขนาด 1.65 นิ้ว ความละเอียด 312x390 Pixels (ขึ้นอยู่กับแต่ละโมเดลย่อย) - สั่งงานด้วยระบบสัมผัสบนหน้าจอแสดงผล (Touch Screen) - ระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวแบบ 3-Axis Gyro Sensor - ระบบ Accelerometer Sensor ช่วยหมุนหรือปรับเปลี่ยนทิศทางการแสดงผลของหน้าจอให้แบบอัตโนมัติ ตามลักษณะการจับถือของผู้ใช้ - ฟังก์ชัน Ambient Light Sensor สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอให้เหมาะสม - ระบบการสั่นไหวแบบ Taptic Engine - เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ - ประมวลผลการทำงานด้วย ชิปเซ็ต Apple S1 - รองรับการเก็บบันทึกข้อมูลแบบ Cloud Storage ด้วยบริการ iCloud Service - ขับเคลื่อนการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ iOS - รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน WiFi (WLAN : Wireless LAN : 802.11 b/g) - Bluetooth เวอรืชัน 4.0 - ระบบ GPS ในตัว (Global Positioning System : ระบบดาวเทียมนำร่อง) - เปิดตัวครั้งแรก เมื่อ เดือนกันยายน ปี ค.ศ. 2014
โดยรุ่น Apple Watch จะเป็นรุ่นปกติ ซึ่งตัวเรือนนั้นทำจาก Stainless Steel พร้อมเทคโนโลยีกระจกหน้าจอแบบ Sapphire และวางจำหน่ายในราคา 349$ (ประมาณ 12,000 บาท)
รุ่น Apple Watch Sport คือรุ่นที่ตัวเรือนนั้นทำมาจาก Anodised Aluminium พร้อมเทคโนโลยีกระจกหน้าจอแบบ Ion-X และวางจำหน่ายในราคา 500$ (ประมาณ 16,000 บาท) รุ่น Apple Watch Edition คือรุ่นที่ตัวเรือนเป็นทองคำ 18 กะรัต พร้อมเทคโนโลยีกระจกหน้าจอแบบ Sapphire และวางจำหน่ายในราคา 5000$ (ประมาณ 160,000 บาท) โดยทั้ง 3 รุ่น นั้่นจะเริ่มวางจำหน่ายในช่วงต้นปี ค.ศ. 2015 
ในภาพรวมแล้ว SmartWatch หรือ นาฬิกาอัจฉริยะ ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้ที่ชื่นชอบการออกกำลังกาย, สนใจในเรื่องของนวัตกรรม หรือชอบความแปลกใหม่ ซึ่งคาดว่าผู้บริโภคกลุ่มนี้ มีแต่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต ดังนั้นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนแบรนด์ใหญ่ จึงมุ่งมั่นที่จะรุกตลาด SmartWatch กันอย่างจริงจัง แต่อย่างไรก็ดี สำหรับ SmartWatch บางรุ่น ทางแบรนด์ยังไม่ได้นำมาวางจำหน่ายในไทยอย่างเป็นทางการ ซึ่งผู้อ่านหลายๆ ท่านคงต้องรอกันอีกสักพัก แต่ถ้าท่านได้อยากจะได้ SmartWatch มาลองเล่น และใช้งานกันเลย ก็สามารถสอบถามข้อมูลการสั่งจอง หรือสั่งซื้อได้ที่ช็อปของแบรนด์ต่างๆ รวมไปถึงลองมองๆ หาเครื่องหิ้วตามร้านค้า ก็อาจจะพอมีผู้นำเข้ามาเองบ้าง และ SmartWatch ที่เป็นระบบปฏิบัติการ Android Wear ยังสามารถสั่งซื้อได้ที่ Google Play หรือสามารถสั่งซื้อได้ที่ตัวแทนจำหน่ายออนไลน์ในประเทศไทยหลายๆ เจ้า ซึ่งแม้ว่าขณะนี้ ตลาดของ SmartWatch อาจจะยังอยู่ในวงแคบๆ แต่เชื่อว่าในอนาคตจะเริ่มมีการใช้งานแพร่หลายมากขึ้น, มีความลงตัวกับชีวิตประวำวันของแต่ละคนมากขึ้น และไม่แน่ว่าต่อไปหลายๆ ท่านก็อาจจะไม่หันกลับไปใช้นาฬิกาแบบเดิมๆ อีกก็เป็นได้
Thaimobilecenter.com
วันที่ : 18/12/57
|